Friday, December 31, 2021

สี่คำนั้น - 4

 

สวัสดีปีใหม่ 2565 ครับทุกคน ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีของประเทศชาติบ้านเมือง และ ของพวกเราทุกคน เรื่องที่เคยร้าย เคยแย่ ขอให้ผ่านไปกับปีเก่าทั้งหมดนะครับ

สำหรับวันนี้จะมาพูดถึงคำสุดท้ายที่เรากล่าวได้ยากเย็นที่สุดคำหนึ่งในบรรดา "สี่คำนั้น"

ยาก...เพราะเราไม่อยากจะเอ่ยมันออกมา แม้รู้ว่าต้องมีวันที่ได้ใช้คำนี้

ยาก...เพราะมันเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันหดหู่ เศร้าสร้อย อาลัยอาวรณ์

คงพอเดากันได้นะครับว่าคำนี้คืออะไร ?

ใช่แล้วครับ คำที่เราไม่อยากเอ่ย หรือ เอ่ยได้ยากเย็นที่สุดคำหนึ่งก็คือคำนี้เอง...

"ลาก่อน"

คำพูดสั้นๆ ที่มีความหมายของการพลัดพรากและจากลา ไม่ว่าการลานั้นจะเป็นการจากลาเพียงชั่วคราว หรือ จากลาชั่วนิรันดร์

นี่ล้วนแล้วแต่สร้างความสะเทือนใจให้กับคนกล่าวคำนี้ไม่น้อย

คำว่า "ลาที" แม้ถึงพรุ่งนี้อาจพบกันใหม่ แต่คำ "ลาก่อน" เหมือนจรจากไกล ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้พบกัน....

สำหรับเราทุกคน ไม่ว่าจะ "ลาที" หรือ "ลาก่อน" เราต้องได้มีโอกาสใช้คำนี้กันทั้งนั้น หวังเพียงหลังจากที่ได้กล่าวคำนี้แล้ว เราจะสามารถจดจำความงดงามของมิตรภาพและสายสัมพันธ์ในส่วนลึกของเราไว้ได้ชั่วกาลนาน

อายุคนเราอาจจะสั้น แต่ขอความฝันนั้นจงยืนยาว

คือโอกาสนี้ส่งความรักแด่ มิตรภาพ ความหวัง และ ความฝันของเราทุกคน

สวัสดีปีใหม่ 2565 ปีเสือตุ้ยนุ้ยครับ.








สี่คำนั้น - 3

 

มาถึงคำพูดที่มีความหมายและยากจะกล่าวในชีวิตคนเราคำที่สามกันครับ

เช่นเดียวกับสองคำแรก คำนี้เป็นคำที่เราคุ้นเคยและใช้กันอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน หากแต่เมื่อถึงเวลาที่สมควรกล่าวอย่างที่สุดแต่กลับมิสามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้ซะอย่างนั้น

คำแรกคือ "ไม่"

คำที่สองคือ "รัก"

ส่วนคำที่สามคือคำนี้...

"ขอโทษ"

ฟังดูแล้วมันไม่ได้ยากเย็นเลยใช่ไหม ? ผมเชื่อว่าเราทุกคนได้ใช้คำพูดนี้เป็นประจำ อย่างน้อยก็เป็นคำที่เราเอ่ยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เชื่อไหมครับว่าเวลาที่สมควรจะต้องพูดอย่างยิ่งคำนี้กลับกล่าวออกมาได้อย่างยากเย็นนัก

คำ "ขอโทษ" นี้ เราใช้ตั้งแต่เรื่องที่เล็กน้อยที่สุดอย่างเช่น ทำน้ำหก, เดินชนกับคนแปลกหน้า, มาสายผิดเวลานัด หรือ แม้แต่เรื่องราวที่สาหัสสากรรจ์ที่สุด เช่น การเผลอเรอขับรถชนคนตายเราก็ใช้คำนี้เช่นเดียวกัน

คำนี้น่าจะเป็นคำๆเดียวที่เราไม่สามารถเพิ่มเติมระดับของความรู้สึกเข้าไปได้

คงไม่มีใครใช้คำพูดว่า "ขอโทษมาก" หรือ "ขอโทษอย่างที่สุด" กันนะครับหรืออาจจะมีก็ได้แต่อย่างน้อยผมก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน

จะผิดพลาดไม่ว่าเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก เราก็ใช้แต่คำ "ขอโทษ" นี้มาแสดงความรู้สึก แต่จะเอ่ยอย่างจริงใจหรือไม่นั้นก็คงต้องดูท่าทางประกอบในระหว่างเอ่ยคำนี้เข้าไปด้วย

บ้างก็พูดออกไปส่งๆ พอเป็นพิธี และบ้างก็มีท่าทีสำนึกเสียใจให้เห็นอย่างเด่นชัด

ในเมื่อเป็นคำพูดที่ใช้กันอยู่แทบจะในชีวิตประจำวันแล้ว ทำไมผมถึงบอกว่ามันเป็นหนึ่งในคำที่เอ่ยออกมายากที่สุดนะเหรอ ?

เพราะคำๆนี้มักจะถูกความรู้สึกอื่นๆ บดบังหรือกดทับจนทำให้เราไม่สามารถเอ่ยมันออกมาได้ในสถานะการณ์อันควร และสิ่งที่บดบังไม่ให้คนเราได้กล่าวคำนี้ออกมาได้ง่ายๆ ก็คือ ตำแหน่ง, ฐานันดรศักดิ์, อาวุโส, ความหยิ่งทะนงตน, การถือศักดิ์ศรีของตนเอง หรือจะเรียกรวมๆ ว่าอีโก้ของเราก็ว่าได้

ผมเห็นมิตรภาพของเพื่อนฝูงที่รักกันมานับสิบปีต้องขาดจากกันเพียงแค่คำพูดจากอารมณ์ไม่กี่ประโยค, พ่อแม่พี่น้องญาติผู้ใหญ่มึนตึงใส่กัน ตัดขาดกันเพียงเพราะขาดความเข้าใจระหว่างกันและไม่มีใครยอมเป็นฝ่ายที่ลดราวาศอกก่อน หรือแม้แต่คู่ค้าที่เคยทำธุรกิจร่วมกันมาด้วยดีแต่ความสัมพันธ์กลับต้องพังทลายสิ้นสุดลงจากเหตุผิดพลาดแต่เพียงเล็กน้อย ฯลฯ

เชื่อไหมครับว่าเรื่องราวข้อขัดแย้งต่างๆ เหล่านี้จะลดความโกรธเคืองและไม่เข้าใจกันได้ด้วยแค่เพียงกล่าวคำขอโทษแค่นั้น

แค่เพียงเอ่ยคำขอโทษอย่างจริงใจ ไม่ถืออาวุโส หรือ ลำดับฐานะยศศักดิ์จะเป็นทางออกในเบื้องต้นได้อย่างดีที่สุด

น่าเสียดายเมื่อถึงเวลาจริงๆ กับไม่มีฝ่ายไหนเลยที่จะยอมอ่อนข้อให้กันก่อน ต่างฝ่ายต่างก็อยากจะให้คู่กรณีเป็นผู้ยอมรับความผิดแล้วพูดออกมาก่อนทั้งนั้น เพราะต่างคนต่างก็คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก

เรื่องแบบนี้เกี่ยงกันไป เถียงกันไปก็ไม่มีอะไรที่ดีขึ้นมาหรอกครับ...จริงไหม ?

ปัญหาเรื่องนี้ที่จริงก็แก้ไขไม่ยากเลย เช่น สมมติว่าเราขุ่นเคืองใจกับเพื่อนฝูง หรือเมื่อมีข้อขัดแย้งกับใครสักคน แทนที่เราจะรอให้คู่กรณีเป็นฝ่านพูดออกมาก่อน เรากลับชิงเอ่ยก่อนจะดีกว่าไหมครับ ?

สำหรับผมแล้วมีแต่คนที่ใจกว้างกว่า เอื้ออารีกว่าและเห็นความสำคัญของมิตรภาพมากกว่าเท่านั้นที่จะยินยอมเอ่ยคำนี้ออกมาก่อนโดยไม่เกี่ยงงอน

แค่คำ "ขอโทษ" เพียงคำเดียวเท่านั้นเราจะได้เห็นถึงอานุภาพของมันในการลดทอนข้อขัดแย้งได้เป็นอย่างดีทีเดียว และเวลาที่เอ่ยคำนี้ออกมานั้นอย่าลืมพูดออกมาให้ชัดเจน ใช้ท่าทีที่อ่อนโยนสำนึกผิดพร้อมกับสบตาคู่กรณีไปด้วย จะช่วยให้คลี่คลายปัญหาที่มีได้อย่างง่ายดายเกินคาด

ผมเลยอยากเชิญชวนให้พวกเราลองปรับทัศนคติและวิธีคิด หันมาใส่ใจกับความกล้าที่จะเป็นคนเริ่มเอ่ยคำนี้ก่อน ไม่ว่ากับเพื่อน ญาติพี่น้อง คู่ค้า หรือ แม้แต่คนที่มีอาวุโสน้อยกว่า ตัดอีโก้ตัวเองออกไป และไม่ต้องสนใจว่าใครจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด

แล้วคุณจะพบว่าการพูดคำนี้มันไม่ได้ยากเลย แถมมีแต่เรื่องที่น่ายินดีตามมาด้วยซ้ำ

ไม่ต้องเชื่อผม แค่ลองทำแล้วรอดูผลลัพธ์ของมันเท่านั้น

สำหรับวันนี้ขอลาทีปี 2564 ปีที่แสนยุ่งยากและลำบากสำหรับเราหลายๆ คน

พรุ่งนี้พบกันใหม่ในวันแรกของปี 2565 กับคำที่เอ่ยได้ยากเย็นคำสุดท้ายของ "สี่คำนั้น" ครับ. 







Thursday, December 30, 2021

สี่คำนั้น - 2

 

มาถึงคำพูดประโยคที่สองที่สามารถกำหนดโชคชะตาของคนเราได้

ในยามเป็นเด็กน้อยเยาว์วัยนั้นเราอาจจะสามารถกล่าวคำนี้ได้แบบไม่เคอะเขิน แต่เราจะใช้มันน้อยลงเมื่อเติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในบางครั้งอาจต้องใช้การใคร่ครวญอย่างมากเพราะไม่รู้ว่าเมื่อกล่าวคำนี้ออกไปแล้ว จะออกหัวหรือก้อย กินแห้วหรือสมหวัง

หรือแม้แต่การเปลี่ยนสถานะจาก เพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือคนใกล้ชิดกลายเป็นคนแปลกหน้าไปเสียก็เป็นได้

พูดได้ว่าเป็นหนึ่งในคำที่เปลี่ยนโชคชะตาของคนเราได้เลยทีเดียว ใช่แล้วครับ คำพูดสั้นๆ ที่ว่านี้คือคำ...

"รัก"

คำนี้ที่จริงแล้วมีความสวยงามเป็นอย่างยิ่ง มีความหมายอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะกล่าวกับใครควรเป็นแต่เรื่องดีงาม

เพียงแต่....หากคำนี้ใช้กล่าวผิดที่ ผิดเวลา ผิดคน ไม่เพียงแต่จะสร้างความประดักประเดิดอับอายเท่านั้น หากแต่ยังสามารถกลืนกินมิตรภาพและอนาคตที่วาดฝันไปสิ้น 

และมีบ้างที่ไม่สูญหายเพียงแค่มิตรภาพ ในความผิดหวังบางครั้งยังได้กลืนกินชีวิตเยาว์วัยไปด้วย ! 

"รัก" นี้เป็นคำที่มีอานุภาพใหญ่หลวงนัก ไม่ว่า "ผมรักคุณ" "ฉันรักเธอ" "พ่อ (แม่) รักลูกนะ" "ลูกรักพ่อ (แม่) นะครับ/คะ". หรือแม้แต่ "กูรักมึงเพื่อน" ล้วนแล้วแต่เป็นคำที่ผู้ฟังมักจะเกิดความอิ่มเอิบใจทุกครั้งเมื่อบอกไป

คำนี้เป็นอีกหนึ่งคำที่เราเอ่ยปากกันออกมาได้ยากเย็นยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อเวลาที่เรามีความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ซึ่งชาวเอเชียส่วนมากจะมีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน ยิ่งโดยเฉพาะคนไทยเราที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มชนชาติที่ขี้อาย สงบเสงี่ยม การแสดงความรู้สึกแบบตรงไปตรงมานี้แทบจะไม่คุ้นเคยกันทีเดียว

คำว่า "รัก" นั้นที่จริงแล้วกล่าวไม่ยาก เราสามารถพูดได้ออกมาวันละเป็นร้อยๆ ครั้ง หากแต่กล่าวง่ายไปมันก็จะเป็นคำเลื่อนลอยที่หาสาระแก่นสารไม่ได้

แต่คำ "รัก" ที่กล่าวอย่างหนักแน่นจริงจังนั้นมักจะเป็นคำที่ยากจะเปล่งเสียงออกมา หากแต่เมื่อได้กล่าวออกมาแล้วก็จะเกิดความอบอุ่นหัวใจกับผู้รับฟัง

น่าเสียดายมีไม่น้อยที่พูดออกมาในวันที่ทุกอย่างมันสายเกินไป...

ย้อนกลับมาที่ประสบการณ์ตรงในวัยหนุ่มสาวที่โลกรอบตัวเป็นสีชมพู เวลาที่เรามีความรักและเกิดความพึงใจในเพศตรงข้าม ปฏิกิริยาของเรามักจะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าการให้ความใส่ใจกับตัวเอง, ความกระชุ่มกระชวยกระตือรือล้นที่มากขึ้น แม้แต่ "ออร่า" ของความรักที่ฉาบจับทั้งใบหน้าและเนื้อตัวของเรา

ถามว่าแล้วรู้ได้ยังไง ? ก็ลองดูใบหน้าที่มีเลือดฝาด ดวงตาหยีเล็กลง พร้อมฉ่ำประกายเยิ้ม และท่าทางที่ครุ่นคำนึงอยู่ตลอดเวลานั่นไง ไม่ว่าหญิงหรือชายก็มักจะมาในฟอร์มนี้เหมือนกันหมด...555

ในช่วงเวลาของรุ่นผม แม้ว่าเราจะผ่านการแสดงความสนใจต่อกันจนรับรู้ได้ถึงความพึงใจที่ดูเหมือนจะต้องตรงกันแล้วก็ตาม แต่ยังกลับเป็นเรื่องยากของหลายคนที่จะกล้าเอ่ยความในใจกันออกมาตรงๆ ได้แต่ถือว่ารับรู้ความรู้สึกกันได้ในทีจากการแสดงออกและความห่วงหาต่อกัน

วันๆ ได้แต่ชะม้อยชะม้ายส่งสายตาให้กันแล้วก็เก็บเอาไปเพ้อฝันด้วยความคะนึงหา

ซึ่งในความเป็นจริงเราก็อาจแค่คิดเข้าข้างตัวเองเท่านั้นเอง...ว่าไหม ?

ผมจำได้ว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข แต่ก็เจือไว้ด้วยความอึดอัด ปรารถนา และ กังวล ยิ่งถ้าชายหนุ่ม/หญิงสาวที่หมายปองเป็นคนที่ฮอตและมีเพศตรงข้ามให้ความสนใจอย่างมาก

ใจนึงก็อยากเอ่ยออกไปชัด ๆ อีกใจนึงก็ห้ามไว้ด้วยความหวาดหวั่น....เกรงว่าคำตอบที่ได้จะไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการ

เรื่องฮาๆ มันก็มักจะเกิดในจังหวะนี้เอง ที่อยู่ๆ สาวเจ้าก็เปลี่ยนไป

จากวันวานที่ส่งเสียงคุยกันเจื้อยแจ้ว หยอกล้ออ้ออิงต่อกัน กลายเป็นมึนตึงไว้ตัว ไม่พูดไม่จาด้วยขึ้นมาเฉย ๆ ชนิดกินพาราทั้งแผงก็ยังเดาไม่ออกว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ?

มีเยอะที่จบความสัมพันธ์ฉันท์หนุ่ม-สาวกันแบบดื้อๆ เหมือนดูหนังกลางแปลงที่ฟิล์มขาดกลางเรื่องแล้วก็ปิดวิกทันที เหลือทิ้งไว้แต่ความคาใจ

ผมเคยเจอ - คุณก็เคยเจอแบบนี้...ใช่ไหม ?

นี่ไม่เพียงแต่ชีวิตจริง แม้แต่ในหนังหรือละครก็มีบทที่สะท้อนเรื่องราวทำนองนี้จากทั่วโลกเช่นกัน

นางเอกรอพระเอกบอกรัก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ยอมเอ่ยออกมา รอนานจนทนไม่ไว้ก็จากไปกับรักใหม่

ส่วนพระเอกก็ฟูมฟายที่สูญเสียคนรัก ถึงกับหันไปหาเหล้าดื่มจนเมามาย สะบั้นรักตั้งหน้าตั้งตาฝึกแต่วิทยายุทธ์ บ้างก็กลายเป็นชายไร้รัก หรือ หมกมุ่นกับการทำธุรกิจไปนั่น

แท้จริงรากเหง้าของปัญหาและความพลัดพรากก็คือการที่ไม่ยอมเอ่ยปากแสดงความรู้สึกออกมา ไม่ยอมให้ความชัดเจน ได้แต่คิดว่าคนที่รักจะรับรู้ได้ด้วยตัวเอง

พ้นไปจากความรักของหนุ่ม-สาว ยังมีความรักของคนในครอบครัวที่ขาดการหล่อเลี้ยงเช่นเดียวกัน

ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทหลายๆ ครั้งโดยเฉพาะเรื่องครอบครัว จะมีเรื่องราวความขัดแย้งเกิดขึ้นมาเสมอ ๆ 

พ่อ แม่ ฟ้องเรียกมรดกคืนจากลูก, พี่น้องมีปัญหาระหว่างกันจากสาเหตุพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน ฯลฯ

ร้อยละเกือบร้อยหลังจากที่สืบสาวเรื่องราวต้นตอของปัญหา จะเกิดจากการขาดการแสดงความรักความห่วงใยต่อกันทั้งนั้น

พ่อ-แม่คิดว่าลูกไม่รัก ทอดทิ้งบุพการีดูแลแต่ครอบครัวตัวเอง

พี่น้องทะเลาะตั้งแง่ใส่กันเพราะคิดว่าพ่อแม่ลำเอียงให้ความรักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากกว่าตัว

นี่ล้วนแต่เป็นปรากฏการณ์แห่งคำ "รัก" ที่เราละเลยทั้งนั้น

กับคำที่มีความหมายและอานุภาพที่ยิ่งใหญ่นี้ ผมอยากจะเชิญชวนให้ทุกคนได้กล่าว ได้บอกรักและ เปิดเผยความรู้สึกต่อกัน

ต้นไม้ต้องการปุ๋ยฉันท์ใด หัวใจของคนเราก็ต้องการความรักมาหล่อเลี้ยงฉันท์นั้น

อย่าบอก "รัก" กันในวันที่สายเกินไปเลย ถ้าคุณไม่พูดในวันนี้ เมื่อถึงวันนั้นคุณจะนึกเสียใจไปก็ไม่ทันแล้ว

ผมจะบอกรักให้ดูเป็นตัวอย่างก็ได้

"ผมรักคนที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ทุกคนครับ"....



ท้ายสุด...ฝากเพลง 4 letter word ไว้ฟังกัน สี่พยัญชนะนั้นคืออะไรคงตอบกันได้นะครับ.



Wednesday, December 29, 2021

 รัตนโกสินทร์เอกนคร


ในวันที่คนจากทั่วโลกต่างเผ้ารอคอยที่จะได้มาเยือนเมืองไทย ได้มาสัมผัสวิถีชีวิต อาหารริมทาง และ แหล่งประวัติศาสตร์ที่งดงามและทรงคุณค่าของเรานั้น ในฐานะคนกรุงเทพโดยกำเนิด สรรพสิ่งที่เห็นจนเจนตานั้นดูเหมือนเรื่องราวทั่วไปของชีวิตประจำวันที่ไม่มีอะไรพิเศษเลยสักนิด

ในวันเวลาที่สนุกไปกับการค้นพบโลกใบใหม่จากการเดินทางในต่างแดนนั้น คุณค่าของสิ่งที่มีดูเหมือนจะลางเลือนไกลตัวทั้งที่ประจักษ์กับสายตาอยู่ตรงหน้าแท้ๆ เปรียบไปแล้วก็คงไม่ต่างอะไรไปจากวานรที่ถืออัญมณีงามไว้ในมือได้แต่โยนเล่นไปมาจนกว่าจะเบื่อไปเอง

ผมมาตระหนักว่าตัวเองอยู่ในสภาวะใกล้เกลือกินด่างก็ต่อเมื่อได้ดู Blog และ รีวิวของนักท่องเที่ยวต่างชาติจากทั่วโลกที่ได้มาเยื่อนเมืองไทยและถ่ายทอดมุมมองของพวกเขาออกมาพร้อมกับคำนิยมยกย่อง เชิดชูในสิ่งที่เรามีและเราเป็น การรีวิวและนำชมของพวกเขาเหล่านั้นเหมือนเป็นการเปิดหู เปิดตา และ เปิดโลกใบใหม่ในที่เดิมให้ได้เห็น แหล่งท่องเที่ยว, คาเฟ่, ร้านอาหารอร่อย, ตลาดขายสินค้าพื้นเมือง และ น้ำจิตน้ำใจของคนพื้นที่ ฯลฯ  ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าพลาดไปอย่างแรงกับสิ่งที่อยู่รอบตัว

วันนี้ได้มีโอกาสได้เดินทางออกจากบ้าน ใช้บริการรถใต้ดินจุดหมายปลายทางที่ท้องสนามหลวง ซึ่งก็คือสถานีสนามไชย ที่แม้จะเปิดมาเนิ่นนานพอสมควรแล้วก็ตาม ครั้งนี้กลับเป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้เดินทางไปจริงๆ ก็พบว่าภายในสถานีมีการตกแต่งที่งดงามได้บรรยากาศของเมืองเก่าและท้องพระโรง
















จากทางออกที่ 2 ของสถานีสนามไชย ซึ่งอยู่ตรงวัดโพธิ์นั้น มีป้ายชี้ว่าไปพระบรมมหาราชวังนั้นต้องเดินต่อไปอีกเพียงแค่ 800 เมตรเท่านั้น

เป็น 800 เมตรที่ย้อนกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของประวัติศาสตร์และความเป็นชาติไทยได้อย่างน่าภาคภูมิใจ !

โดยเฉพาะภาพของพระบรมมหาราชวังที่มีธงสีเหลืองสะบัดพริ้ว และ หมู่ปืนใหญ่ที่ได้มาจากการทำศึกรวมชาติในหลายสมรภูมิ

ให้ภาพเหล่านี้เล่าเรื่องด้วยตัวเองก็แล้วกันครับ.




Tuesday, December 28, 2021

สี่คำนั้น

 ในชีวิตคนๆนึง จากจุดเริ่มต้นจนถึงสิ้นสุดคงมีเรื่องราวที่มากมายหลากหลาย ทุกชีวิตคงมีทั้งความสุข เศร้า ดีใจ และ เสียใจระคนกันไป  ผมเชื่อว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่ทั้งชีวิตจะพบแต่ความสุข หรือ ความทุกข์แต่เพียงอย่างเดียว

เพราะอารมณ์ของคนเรามักมีความซับซ้อนในแบบที่เราเองก็คาดคิดไม่ถึงเลย

ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนนั้น การสื่อสารเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ไม่ว่าจะด้วยคำพูด กิริยาอาการ หรือ ท่าทาง การแสดงออกล้วนแล้วแต่สร้าง หรือ ทำลายความสัมพันธ์ได้ทั้งสิ้น

จากการเป็นทั้ง "ผู้ชม" และ "ตัวละคร" ผมเห็นว่าในการสื่อสารระหว่างกันนั้นมีคำพูดอยู่ 4 คำที่จะเปลี่ยนชีวิต และเราทุกคนควรตระหนักถึง "พลัง" ในการที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาให้ได้

แน่นอน...หากเป็นการเอื้อนเอ่ยแบบสรวลเสลเฮฮาจะให้พูดกันทั้งวันก็ย่อมได้ แต่หากเวลาที่เราควรจะต้องเอ่ยคำเหล่านี้จริงๆ ล้วนมักจะเหมือนมีจะอะไรมาจุกที่ลำคอ พาลให้ติดขัดพูดไม่ออกไปได้เสียทุกครั้ง

ผมก็เป็น และ เชื่อว่าคุณก็เป็น

คำแรกในสี่คำนั้นที่เราควรจะต้องเรียนรู้และความกล้าในการที่จะเอ่ยออกมาคือคำว่า...

"ไม่"

คำปฎิเสธง่ายๆ ที่จะนำพาเราออกห่างจากปัญหาในอนาคต เราอาจจะพูดคำนี้กันทุกวัน วันละอาจจะนับสิบครั้งโดยที่ไม่ได้รู้สึกคิดหรือหนักอกหนักใจอะไรกับการพูดคำนี้ แต่เชื่อเถอะว่าเวลาที่เราจะต้องใช้คำนี้จริง ๆ แล้วมันยากเสมอที่จะกล่าวออกมา แม้แต่ในโลกตะวันตกก็ยังมีหลักสูตรการเรียนรู้และหนังสือขายดีที่ต้องตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในชื่อ "Just say NO" นั่นแสดงใให้เห็นว่าการกล่าวคำปฏิเสธนี้ได้กลายเป็นปัญหาของมนุษย์ในทุกชาติทุกภาษา

"ไม่ได้ครับ" "ไม่ได้ค่ะ" จะยากทุกครั้งเมื่อเราจะต้องกล่าวปฏิเสธต่อ ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ, ญาติ, เพื่อนสนิท, คนรัก, ผู้นำศาสนา หรือ ครูบาอาจารย์ ฯลฯ

วาระที่เราจะต้องใคร่ครวญในการใช้คำนี้มักจะมาจากคำขอร้องในการหยิบยืมทรัพย์สินมีค่า เช่น เงิน โบราณวัตถุ เอกสารหายาก เครื่องประดับ รถยนต์ ปืน รวมไปถึงการขอให้ช่วยค้ำประกันให้ เป็นต้น

ผมเองในทุกครั้งที่ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือเรื่องเหล่านี้ แม้จะรู้สึกลำบากใจอยู่บ้างและรู้ทั้งรู้ว่าการตกปากรับคำในทุกครั้งนั้นจะนำมาซึ่งความเสี่ยงประเภทเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่งกลับต้องเอากระดูกมาแขวนคอ แต่ในหลายๆ ครั้งก็เหมือนอยู่ในสถานะน้ำท่วมปาก ครั้นจะปฏิเสธเด็ดขาดก็ดูเหมือนจะเป็นคนไร้น้ำใจต่อผู้คนรอบข้าง และในเมื่อไม่สามารถกล่าวคำว่า "ไม่" นี้ได้ สิ่งที่จะต้องยอมรับก็คือเรายินดีรับความเสี่ยงที่จะนำปัญหาเข้าตัวเราเอง

และผมก็ไม่เคยผิดหวังเลย เรื่องราวนี้ได้เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ไม่นับหนี้สูญที่เรียกได้ว่ามีเป็นประจำปี

"คนที่จะโกงเราได้ต้องเป็นคนที่เราไว้ใจ" นี่คือคำที่ผมตกผลึกมาจากประสบการณ์จริงโดยที่ไม่มีใครสอน แน่นอน...ถ้าเราไม่ไว้ใจเขา ไหนเลยเขาจะมีโอกาสได้คดโกงเราได้ล่ะ...จริงไหม ?

เอาง่ายๆ คุณลองมองที่ตัวคุณเองก็ได้ว่าเคยมีประสบการณ์เช่นเดียวกันนี้รึเปล่า ?

ในฐานะที่มีประสบการณ์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ผมมีข้อคิดดังนี้

ถ้าเป็นเรื่องคนมายืมเงิน ไม่ว่าญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง ถ้าเขามีความเดือดร้อนและมาขอความช่วยเหลือ ถ้าไม่ใช่เงินจำนวนมากมายและพอช่วยเหลือได้ก็ควรช่วยเหลือเขาไปเถิด น้ำใจที่คุณมอบออกไปนั้นมันจะเหมือนสายฝนชะโลมดินในหน้าแล้งสำหรับเขาเลยทีเดียว สำหรับคนที่เดือดร้อนแล้วต้องมาเอ่ยปากหยิบยืมคนโดยที่เขาไม่มีนิสัยอย่างนี้มาก่อนแล้ว เชื่อเถอะว่าเขาต้องรวบรวมความกล้าเป็นอย่างมากที่จะเอ่ยคำขอยืมนี้กับคุณ

แต่ถ้าเป็นการหยิบยืมเงินจำนวนมาก สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ วัตถุประสงค์ในการเอาไปใช้จ่าย ถ้าเหตุผลคือชักหน้าไม่ถึงหลังหรือเอาไปใช้หนี้ล่ะก็ทำใจไว้เลยว่าโอกาสที่จะได้คืนนั้นแทบจะเป็นศูนย์ 

ถ้าเหตุผลว่าต้องการนำเงินไปลงทุน ก็ให้ดูความชำนาญในสิ่งที่เขาจะทำว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ ?

ถ้าผู้ยืมเป็นพวกติดหรู กินดี อยู่ดี ติดเที่ยว ติดดื่มล่ะรู้ไว้เลยว่าถือเป็นกลุ่มเสี่ยงเช่นกัน

จะให้ใครหยิบยืมเงินจำไว้ว่าหากเป็นจำนวนเงินตั้งแต่สองพันบาทขึ้นไป ตามกฏหมายให้ทำหนังสือไว้เป็นลายลักษณ์อักษรโดยระบุถึงจำนวนเงิน และ วันเวลาที่หยิบยืมให้ถูกต้อง ถ้ามีดอกเบี้ยก็ให้ใส่ลงไปด้วย แต่ตามกฏหมายให้ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปีเท่านั้น

โดยประสบการณ์ เงินที่มีดอกเบี้ยนั้นจะได้รับการใส่ใจในการคืนมากกว่าการยืมที่ไม่มีดอกเบี้ย เพราะหากไม่มีต้นทุนดอกเบี้ยแล้วลูกหนี้มักจะเกิดอาการเฉื่อยแฉะที่จะจ่ายคืนทุกครั้งไป

นอกจากยืมเงินแล้วที่พบเห็นเป็นเรื่องเป็นราวบ่อยๆ ก็คือ การค้ำประกัน

ญาติ พี่ น้อง เพื่อน ลูกศิษย์ ผู้ใหญ่ที่เคารพ แตกคอกันจากเหตุค้ำประกันกันมาเยอะต่อเยอะ ทั้งค้ำประกันรถยนต์ บ้าน เงินกู้ เงินยืมการศึกษา ตอนมาขอร้องส่วนมากก็มากันแบบพูดดีจี๋จ๋า หลายรายผ่านไปไม่ถึงปีความซวยก็มาเยือนผู้ค้ำบ่อยไป

หากคุณปฏิเสธไม่ได้ด้วยความเกรงใจ หรือ ต้องชดใช้หนี้บุญคุณก็แล้วแต่ ในปัจจุบันนั้นกฏหมายค้ำประกันได้มีการปรับปรุงใหม่ จะให้ผู้ค้ำประกันรับผิดชอบเสมือนลูกหนี้นั้นไม่ได้ เราสามารถยินยอมค้ำประกันแต่เพียงบางส่วนได้ไม่จำเป็นต้องค้ำประกันทั้งหมด และ ในกรณีที่เกิดการฟ้องร้องขึ้นมา กฏหมายก็ต้องให้บังคับเอาจากลูกหนี้ให้สิ้นสุดก่อนที่ภาระจะตกมาถึงผู้ค้ำประกันอีกด้วย

เห็นข่าวลูกศิษย์หนีหนี้ทิ้งภาระให้คุณครูใจอารีผู้รับค้ำประกันต้องสิ้นเนื้อประดาตัวหลายๆ คนแล้วรู้สึกโมโหแทนจริง ๆ

นี่ไม่นับถึงทรัพย์สินอื่น เช่น คนมาขอยืมปืน ยืมรถยนต์ ฯลฯ เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนนำแต่ความซวยแบบพิสดารมาให้ทุกครั้ง

ส่วนเยาวชนก็คงไม่พ้นการเชิญชวนให้ทดลองเสพยาเสพติด โดยเริ่มจากบุหรี่ และ เหล้า

ดังนั้นคำว่า "ไม่" จึงเป็นความเด็ดขาดเดียวที่จะทำให้เราไม่ต้องเจอกับสภาวะที่น่าปวดหัวนี้ แต่จะกล่าวปฏิเสธยังไงที่ทำให้เกิดสภาวะบัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น ก็คงขึ้นอยู่กับศิลปะของแต่ละคน

พรุ่งนี้จะมาพูดถึงคำที่สองที่ยากเย็นเหลือเกินที่จะหลุดออกจากปากมาได้.


หมายเหตุ เพลงไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องเพียงแต่ชื่อมันได้เฉยๆ