มาถึงคำพูดประโยคที่สองที่สามารถกำหนดโชคชะตาของคนเราได้
ในยามเป็นเด็กน้อยเยาว์วัยนั้นเราอาจจะสามารถกล่าวคำนี้ได้แบบไม่เคอะเขิน แต่เราจะใช้มันน้อยลงเมื่อเติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในบางครั้งอาจต้องใช้การใคร่ครวญอย่างมากเพราะไม่รู้ว่าเมื่อกล่าวคำนี้ออกไปแล้ว จะออกหัวหรือก้อย กินแห้วหรือสมหวัง
หรือแม้แต่การเปลี่ยนสถานะจาก เพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือคนใกล้ชิดกลายเป็นคนแปลกหน้าไปเสียก็เป็นได้
พูดได้ว่าเป็นหนึ่งในคำที่เปลี่ยนโชคชะตาของคนเราได้เลยทีเดียว ใช่แล้วครับ คำพูดสั้นๆ ที่ว่านี้คือคำ...
"รัก"
คำนี้ที่จริงแล้วมีความสวยงามเป็นอย่างยิ่ง มีความหมายอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะกล่าวกับใครควรเป็นแต่เรื่องดีงาม
เพียงแต่....หากคำนี้ใช้กล่าวผิดที่ ผิดเวลา ผิดคน ไม่เพียงแต่จะสร้างความประดักประเดิดอับอายเท่านั้น หากแต่ยังสามารถกลืนกินมิตรภาพและอนาคตที่วาดฝันไปสิ้น
และมีบ้างที่ไม่สูญหายเพียงแค่มิตรภาพ ในความผิดหวังบางครั้งยังได้กลืนกินชีวิตเยาว์วัยไปด้วย !
"รัก" นี้เป็นคำที่มีอานุภาพใหญ่หลวงนัก ไม่ว่า "ผมรักคุณ" "ฉันรักเธอ" "พ่อ (แม่) รักลูกนะ" "ลูกรักพ่อ (แม่) นะครับ/คะ". หรือแม้แต่ "กูรักมึงเพื่อน" ล้วนแล้วแต่เป็นคำที่ผู้ฟังมักจะเกิดความอิ่มเอิบใจทุกครั้งเมื่อบอกไป
คำนี้เป็นอีกหนึ่งคำที่เราเอ่ยปากกันออกมาได้ยากเย็นยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อเวลาที่เรามีความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ซึ่งชาวเอเชียส่วนมากจะมีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน ยิ่งโดยเฉพาะคนไทยเราที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มชนชาติที่ขี้อาย สงบเสงี่ยม การแสดงความรู้สึกแบบตรงไปตรงมานี้แทบจะไม่คุ้นเคยกันทีเดียว
คำว่า "รัก" นั้นที่จริงแล้วกล่าวไม่ยาก เราสามารถพูดได้ออกมาวันละเป็นร้อยๆ ครั้ง หากแต่กล่าวง่ายไปมันก็จะเป็นคำเลื่อนลอยที่หาสาระแก่นสารไม่ได้
แต่คำ "รัก" ที่กล่าวอย่างหนักแน่นจริงจังนั้นมักจะเป็นคำที่ยากจะเปล่งเสียงออกมา หากแต่เมื่อได้กล่าวออกมาแล้วก็จะเกิดความอบอุ่นหัวใจกับผู้รับฟัง
น่าเสียดายมีไม่น้อยที่พูดออกมาในวันที่ทุกอย่างมันสายเกินไป...
ย้อนกลับมาที่ประสบการณ์ตรงในวัยหนุ่มสาวที่โลกรอบตัวเป็นสีชมพู เวลาที่เรามีความรักและเกิดความพึงใจในเพศตรงข้าม ปฏิกิริยาของเรามักจะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าการให้ความใส่ใจกับตัวเอง, ความกระชุ่มกระชวยกระตือรือล้นที่มากขึ้น แม้แต่ "ออร่า" ของความรักที่ฉาบจับทั้งใบหน้าและเนื้อตัวของเรา
ถามว่าแล้วรู้ได้ยังไง ? ก็ลองดูใบหน้าที่มีเลือดฝาด ดวงตาหยีเล็กลง พร้อมฉ่ำประกายเยิ้ม และท่าทางที่ครุ่นคำนึงอยู่ตลอดเวลานั่นไง ไม่ว่าหญิงหรือชายก็มักจะมาในฟอร์มนี้เหมือนกันหมด...555
ในช่วงเวลาของรุ่นผม แม้ว่าเราจะผ่านการแสดงความสนใจต่อกันจนรับรู้ได้ถึงความพึงใจที่ดูเหมือนจะต้องตรงกันแล้วก็ตาม แต่ยังกลับเป็นเรื่องยากของหลายคนที่จะกล้าเอ่ยความในใจกันออกมาตรงๆ ได้แต่ถือว่ารับรู้ความรู้สึกกันได้ในทีจากการแสดงออกและความห่วงหาต่อกัน
วันๆ ได้แต่ชะม้อยชะม้ายส่งสายตาให้กันแล้วก็เก็บเอาไปเพ้อฝันด้วยความคะนึงหา
ซึ่งในความเป็นจริงเราก็อาจแค่คิดเข้าข้างตัวเองเท่านั้นเอง...ว่าไหม ?
ผมจำได้ว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข แต่ก็เจือไว้ด้วยความอึดอัด ปรารถนา และ กังวล ยิ่งถ้าชายหนุ่ม/หญิงสาวที่หมายปองเป็นคนที่ฮอตและมีเพศตรงข้ามให้ความสนใจอย่างมาก
ใจนึงก็อยากเอ่ยออกไปชัด ๆ อีกใจนึงก็ห้ามไว้ด้วยความหวาดหวั่น....เกรงว่าคำตอบที่ได้จะไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการ
เรื่องฮาๆ มันก็มักจะเกิดในจังหวะนี้เอง ที่อยู่ๆ สาวเจ้าก็เปลี่ยนไป
จากวันวานที่ส่งเสียงคุยกันเจื้อยแจ้ว หยอกล้ออ้ออิงต่อกัน กลายเป็นมึนตึงไว้ตัว ไม่พูดไม่จาด้วยขึ้นมาเฉย ๆ ชนิดกินพาราทั้งแผงก็ยังเดาไม่ออกว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ?
มีเยอะที่จบความสัมพันธ์ฉันท์หนุ่ม-สาวกันแบบดื้อๆ เหมือนดูหนังกลางแปลงที่ฟิล์มขาดกลางเรื่องแล้วก็ปิดวิกทันที เหลือทิ้งไว้แต่ความคาใจ
ผมเคยเจอ - คุณก็เคยเจอแบบนี้...ใช่ไหม ?
นี่ไม่เพียงแต่ชีวิตจริง แม้แต่ในหนังหรือละครก็มีบทที่สะท้อนเรื่องราวทำนองนี้จากทั่วโลกเช่นกัน
นางเอกรอพระเอกบอกรัก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ยอมเอ่ยออกมา รอนานจนทนไม่ไว้ก็จากไปกับรักใหม่
ส่วนพระเอกก็ฟูมฟายที่สูญเสียคนรัก ถึงกับหันไปหาเหล้าดื่มจนเมามาย สะบั้นรักตั้งหน้าตั้งตาฝึกแต่วิทยายุทธ์ บ้างก็กลายเป็นชายไร้รัก หรือ หมกมุ่นกับการทำธุรกิจไปนั่น
แท้จริงรากเหง้าของปัญหาและความพลัดพรากก็คือการที่ไม่ยอมเอ่ยปากแสดงความรู้สึกออกมา ไม่ยอมให้ความชัดเจน ได้แต่คิดว่าคนที่รักจะรับรู้ได้ด้วยตัวเอง
พ้นไปจากความรักของหนุ่ม-สาว ยังมีความรักของคนในครอบครัวที่ขาดการหล่อเลี้ยงเช่นเดียวกัน
ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทหลายๆ ครั้งโดยเฉพาะเรื่องครอบครัว จะมีเรื่องราวความขัดแย้งเกิดขึ้นมาเสมอ ๆ
พ่อ แม่ ฟ้องเรียกมรดกคืนจากลูก, พี่น้องมีปัญหาระหว่างกันจากสาเหตุพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน ฯลฯ
ร้อยละเกือบร้อยหลังจากที่สืบสาวเรื่องราวต้นตอของปัญหา จะเกิดจากการขาดการแสดงความรักความห่วงใยต่อกันทั้งนั้น
พ่อ-แม่คิดว่าลูกไม่รัก ทอดทิ้งบุพการีดูแลแต่ครอบครัวตัวเอง
พี่น้องทะเลาะตั้งแง่ใส่กันเพราะคิดว่าพ่อแม่ลำเอียงให้ความรักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากกว่าตัว
นี่ล้วนแต่เป็นปรากฏการณ์แห่งคำ "รัก" ที่เราละเลยทั้งนั้น
กับคำที่มีความหมายและอานุภาพที่ยิ่งใหญ่นี้ ผมอยากจะเชิญชวนให้ทุกคนได้กล่าว ได้บอกรักและ เปิดเผยความรู้สึกต่อกัน
ต้นไม้ต้องการปุ๋ยฉันท์ใด หัวใจของคนเราก็ต้องการความรักมาหล่อเลี้ยงฉันท์นั้น
อย่าบอก "รัก" กันในวันที่สายเกินไปเลย ถ้าคุณไม่พูดในวันนี้ เมื่อถึงวันนั้นคุณจะนึกเสียใจไปก็ไม่ทันแล้ว
ผมจะบอกรักให้ดูเป็นตัวอย่างก็ได้
"ผมรักคนที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ทุกคนครับ"....
ท้ายสุด...ฝากเพลง 4 letter word ไว้ฟังกัน สี่พยัญชนะนั้นคืออะไรคงตอบกันได้นะครับ.
No comments:
Post a Comment
อ่านเรื่องราวต่างๆ แล้วอยากจะแบ่งปัน อยากถามต่อเชิญได้เลยครับ..