Monday, December 5, 2016

จารึกเทิดไว้จักไม่ลืมเลือน

น้อมถวายอาลัยแด่มหาบุรุษผู้จากไป..




ลมหนาวของเดือนธันวาคมพัดโชยแผ่วเบาอีกครั้งท่ามกลางความเงียบงันของกรุงเทพมหานครในยามย่ำค่ำของวันที่ 5 ธันวาคม 2559

เป็นวันที่ 5 ธันวาคมที่ไม่มีอะไรเหมือนที่เคยเป็นและรับรู้มากว่า 50 ปี !

ไม่มีงานเฉลิมฉลอง..ไม่มีพลุไฟตระการตา..ไม่มีสีสันของความรื่นเริงฉูดฉาด  หากแต่ 5 ธันวาคมปีนี้ มีแต่ความเงียบงันและบรรยากาศของความอาดูรที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า

นับแต่วัยเยาว์จนเลยล่วงสู่มัชฌิม สิ่งที่ผมคุ้นเคยและเฝ้ารอคอยมาตลอดก็คือการสดับฟังพระบรมราโชวาทขององค์ในหลวง ทั้งเนื่องในวโรกาศเฉลิมพระชนม์พรรษาและพระราชทานพรปีใหม่  โดยเฉพาะกว่าสิบปีให้หลังมานี้ในยามที่พระพลานามัยของพระองค์ร่วงโรยด้วยพระชนม์มายุที่สูงวัย  ผมดีใจทุกครั้งที่ได้รับฟังพระราชดำรัสของพระองค์ในวันเฉลิม และ ปลาบปลื้มมีกำลังตลอดมาเมื่อได้รับพรปีใหม่พร้อมรับพระพรของพระองค์ใส่เกล้าใส่กระหม่อมไว้ด้วยความปิติยินดีพร้อมกำลังใจที่เปี่ยมล้น...

วัยที่ล่วงเลย ทำให้ผมได้เรียนรู้และเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติมากขึ้น
สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไม่มีอะไรคงเดิม... บ้างเปลี่ยนแปลงเห็นได้รวดเร็ว และบ้างการเปลี่ยนแปลงก็ดำเนินไปอย่างช้า ๆ จนเราอาจไม่สังเกตเห็น

จากเด็กหนุ่มทรนงผู้มากไปด้วยความฝันและความเชื่อมั่นถือดีเปี่ยมพละกำลังราวกระทิงหนุ่ม..อย่างไม่รู้ตัว ผมได้เปลี่ยนแปลงตัวเองสู่ความครุ่นคิดใคร่ครวญ รอบคอบและรับฟังความรอบด้านมากขึ้น ให้เวลามากขึ้นกับสิ่งที่ทำแต่ละอย่าง  และรับรู้ได้ถึงสิ่งที่หายไปจากตัวคือความห้าวหาญทนงตนที่แลกมากับประสบการณ์ที่มากขึ้นและรอยแผลบาดลึก จากสนามต่อสู้ไม่ต่างอะไรกับเสือเฒ่า.....

เวลาให้ทั้งคุณและโทษ แต่จะอย่างไรก็เป็นครูที่ดีของเราเสมอมา

ไม่เพียงแต่เป็นครูที่ดี แต่ยังเป็นยาสมานแผลจากความเจ็บปวดทุกข์ทนที่เราไม่เคยคิดว่าจะผ่านมันไปได้อีกด้วย

จากความทรงจำในวัยเยาว์ ภาพของพระมหากษัตริย์ในชุดเสื้อสูทคลุมพระองค์ มือถือแผนที่ฉบับใหญ่ ที่พระศอห้อยกล้องถ่ายรูปที่ทรงยกขึ้นถ่ายรูปทิวทัศน์หรือพสกนิกรเป็นระยะนั้น เป็นภาพติดตาของผมตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นภาพที่ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปตามท้องทุ่งกันดารหรือป่าเขาในวันที่บ้านเมืองกำลังพัฒนาและขาดแคลนถนนหนทาง...การเสด็จเยี่ยมฐานทหารในแนวหน้าเพื่อพระราชทานถุงยังชีพและกำลังใจในยุคสมัยที่บ้านเมืองแดงเดือดด้วยภัยคอมมิวนิสต์ หรือ การเยี่ยมเยียนทหารที่บาดเจ็บจากการสู้รบที่โรงพยาบาล...ภาพต่าง ๆ เหล่านี้ผมยังจำได้ดี แม้กาลก่อนอาจจะไม่เข้าใจลึกซึ้งนักด้วยวัยที่ยังเยาว์แต่การเสด็จพระราชดำเนินนั้นก็ได้กระทำซ้าแล้วซ้ำอีกหลาย ๆ ปี จนเป็นภาพที่ผมจำได้อย่างไม่มีวันลืมเลือน และได้เริ่มเข้าใจซึมซับว่าเหตุใดพระองค์ถึงต้องทรงงานด้วยความลำบากตรากตรำถึงเพียงนี้

ระหวางปี 2516-2519 หรือในยุค 5 ย. ผมจำได้ดีถึงเหตุบ้านการเมืองในขณะนั้น  ความวุ่นวายของการ
สไตร๊ค์นัดหยุดงาน, การเดินขบวนประท้วงเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ รายวันถือเป็นเรื่องปกติ ไม่เพียงแต่ภัยจากอาชญากรรมประเภทจับตัวเรียกค่าไถ่, วางระเบิดโรงหนัง หรือปล้น ชิง วิ่งราวที่ดาดดื่น, ภัยจากความแตกแยกภายในและไฟสงครามจากประเทศเพื่อนบ้านที่โหมไหม้ลุกลามผ่านเข้ามาสู่ดินแดนของประเทศไทยในหลายต่อหลายสถานที่ที่รัฐบาลไม่มีอำนาจเข้าควบคุมบริหารจัดการ เช่นที่ ภูพาน, เทิง, ทุ่งช้าง, ห้วยโก๋น, เขาค้อ, อุ้มผาง, ช่องช้าง ฯลฯ สถานที่ต่าง ๆ เหล่านี้ได้กลืนกินชีวิตของบรรรพชนและลูกหลานทหารหาญชาวไทยนับร้อยนับพันชีวิตทุก ๆ ปี.. งานเสด็จพระราชทานเพลิงศพทหารกล้าก็เป็นอีกอย่างหนึ่งของพระราชกรณียกิจที่ผมไม่เคยลืม

ผมยังจำได้ถึงเหตุการณ์ที่ไปเยี่ยมบ้านคุณตาคุณยายในต่างจังหวัด เมื่อเราเดินทางออกนอกเมืองไป เราจะได้พบกับด่านของ "ทหารบ้าน" หรือเหล่าสหาย แนวร่วมของ กองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทยที่มาตั้งด่านตรวจเช็คยวดยานสัญจร นักรบชาวบ้านเหล่านี้มักจะสะพายอาวุธออกมาปิดถนนเพื่อตรวจตราไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐปะปนหรือแทรกซึมเข้ามาในเขตอิทธิพล หากจับได้ก็นำมายิงทิ้ง..เป็นเรื่องของข่าวคราวและการรับรู้โดยทั่วไป บางแห่งถึงขนาดขึ้นป้ายว่า "สุดเขตประเทศไทย" ทั้ง ๆ ที่ห่างตัวจังหวัดเพียงไม่กี่กิโลเมตรด้วยซ้ำ

ท่ามกลางวิกฤติความมั่นคงของประเทศ และการกล่าวถึงทฤษฏี "โดมิโน" ในยุคนั้น คำกล่าวที่ทุกคนต่างเชื่อว่าประเทศไทยยากจะรอดพ้นไปได้ หากแต่ไทยเรานั้นยังโชคดีที่มีสถาบันหลักอย่างสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เข้มแข็ง  อาจนับได้ว่าเป็นสถาบันเดียวที่นำพาประเทศหลุดพ้นออกมาจากห้วงวิกฤติที่ดิ่งลึกอย่างน่ากลัวของยามนั้น

นี่ไม่ใช่ผมคิดไปเองอย่างเลื่อนลอย หากแต่เป็นคำพูดของนักข่าวบีบีซี ผู้คร่ำหวอดในสงครามท่านนึงได้เคยวิเคราะห์เอาไว้ว่า เขามั่นใจว่าเมืองไทยจะไม่พบกับการเปลี่ยนแปลงจากทฤษฎีโดมิโน เพราะเมืองไทยแตกต่างจากเพื่อนบ้านตรงที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เข้มแข็ง และเป็นสถาบันหลักที่ประชนให้ความเคารพเชื่อมั่นดุจศูนย์รวมใจของชาติ นี่เป็นทรรศนะการวิเคราะห์ของสื่อมวลชนต่างชาติด้วยความมั่นใจ พยานหลักฐานก็ยังปรากฎและสามารถสืบค้นได้จากสารคดีข่าวของบีบีซีในปัจจุบัน

ในยุคที่ไฟสุมประเทศ บรรยากาศวิทยุและทีวีที่ตลบอบอวลไปด้วยเพลงปลุกใจให้รักชาติ นั่นคงเป็นบรรยากาศที่คนไทยรุ่นใหม่ในวัยตำกว่า 30 ปีไม่เคยได้เห็น...แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่จริง

นั่นเป็นเรื่องนี่นับเวลาย้อนหลังไปในราว สามสิบกว่าปีที่ผ่านมาที่ทำให้ผมได้เห็นภารกิจที่หนักหน่วงของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชที่ตราตรึงอยู่ในใจผมเสมอมา

จากนั้นมาอีกเพียงสิบกว่าปี ในวัยแห่งความฝันที่งดงาม วัยที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ผมได้เห็นและสัมผัสได้ถึงพระบารมีของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง

"ม็อบมือถือ" เหตุการณ์ทางการเมืองที่บานปลายสู่วิกฤติความขัดแย้งที่ดำดิ่งลงสู่ความหายนะของประเทศชาติที่รออยู่อีกไม่ไกล ความพรั่นพรึงและวิตกกังวลหลังยุคสงครามเย็นที่ฉายจับใบหน้าของประชาชนคนไทย...เหตุการณ์เลวร้ายที่นับถอยหลังและกำลังจะเกิดขึ้นอีกชั่วอึดใจ...เป็นความมืดมนที่ไม่เห็นแสงสว่างของทางออกหรือแม้แต่จะคาดถึงจุดจบของเหตุการณ์...

พลันที่มีพระราชดำรัสให้ผู้นำความขัดแย้งทั้งสองฝ่ายได้เข้าเฝ้า...จากวันนั้น ..ชั่วโมงนั้น..ผมเชื่อว่าไม่มีใครในโลกจะคาดคิดได้ถึงสิ่งที่ดำเนินต่อมา...พระราชดำรัสของพระองค์เป็นเสมือนดั่งสายฝนที่ชุ่มเย็นโปรยปรายดับความร้อนรุ่มของเปลวเพลิงที่คุกรุ่นจนมลายสิ้น...ความสงบสุขกลับคืนมาอ่ย่างรวดเร็วโดยไม่มีความสูญเสียให้กับพี่น้องร่วมชาติ

นี่นับเป็นปรากฎการณ์ที่เหลือเชื่อและเป็นปาฏิหารย์ของมนุษยชาติประการหนึ่ง...ปาฏิหารย์ที่มีแต่พระบารมีของล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 เท่านั้นที่ทำได้... เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความยินดีให้กับประชาชนคนไทยเท่านั้น หากแต่ยังเป็นปรากฎการณ์ที่สร้างความอัศจรรย์อย่างน่าพิศวงไปยังนานาประเทศทั่วโลก...ไฟสงครามหยุดได้จริงด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค....ทุกคนต่างประหลาดใจกับสิ้งที่เห็นอีกทั้งไม่มีใครสักคนที่เชื่อว่าจะมีคนที่สองในโลกนี้ที่สร้างปาฏิหารย์เช่นนี้ได้...

นี่เป็นเรื่องราวที่ผมจำได้อย่างฝังใจอีกเรื่องหนึ่งและจะจดจำไว้อย่างไม่ลืมไปจนชั่วชีวิตนี้




                                              ภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่โลกจะไม่มีวันลืม

อีกทั้งเป็นเรื่องราวที่ทำให้ผม..ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารภาคภูมิใจที่ได้เป็นพสกนิกรของพระองค์ท่าน และสามารถเล่าเรื่องราวให้เพือนชาวตางชาติฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่รู้เบื่อ

ในวันที่พร้อมด้วยวุฒิภาวะ ผมได้เรียนรู้และเข้าใจอยางถ่องแท้ถึงการดำรงคงอยู่ของสถาบันหลักของชาติ  เป็นวันที่ยิ่งได้เรียนรู้ก็ยิ่งเข้าใจและยิ่งซาบซึ้งในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้กับชาวไทยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา

ผมได้เห็นความเหน็ดเหนื่อย, ความยากลำบาก และพระวิริยะอุตสาหะของพระองค์ที่มุ่งมั่นจะทำให้พสกนิกรทุกคนได้ยกระดับความเป็นอยู่ของชีวิตให้ดีขึ้น ความเหน็ดเหนื่อยตรากตรำที่ไม่อยู่ในความจำเป็นที่พระองค์จะต้องทรงกระทำเลยในฐานะของพระมหากษัตริย์...

อาจมีบางครั้งที่ความคิดผมแวบถึงคำของนักการเมืองทั้งหน้าเหลี่ยมและหน้าหล่อที่ปากอ้างว่าเป็นตัวแทนของประชาชน. รักประชาชนและทำเพื่อประชาชน หากแต่ยัดไส้ไปด้วยเล่ห์เพทุบายนานาเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง ซึ่งนั่นล้วนแล้วแต่เป็นคำโป้ปดหลอกลวงทั้งสิ้น

ความจริงที่เห็นคือไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ หรือ ไม่สมควรเอามาเปรียบเทียบกันเลยด้วยซ้ำ ! 

เมื่อผมเติบโตขึ้นมาตามกาล ผมก้ได้ใช้ชีวิตตัวเองอย่างมีความสุข ภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทยใต้ร่มธงไตรรงค์ที่มีชาติ ศาสน์ กษัตริย์

ยังจำได้ด้วยซ้ำว่าวันนึงที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เดิน ๆ อยู่ริมถนน อยู่ ๆ ก็มีลมเย็นมาปะทะหน้า และผมเกิดความรู้สึกที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลยวูบหนึ่งก็คือ..."ผมรักประเทศไทย" เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยนึกคิดมาก่อนเลยจริง ๆ

วัยวันผันผ่านจากเด็กน้อยสู่วัยเติบใหญ่ จากผู้ใหญ่สู่วัยชรา...ผมรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอันเป็นนิรันดร์แม้แต่ตัวเองหรือคนรอบกาย...

13 ตุลาคม 2559 ....จากข่าวลือที่มีมาอย่างต่อเนื่องของวันที่ 12 จนลุล่วงเข้าวันที่ 13 ตุลาคม ทำให้ผมรู้สึกวิตกกังวลมากและใจคอไม่ดี แม้จะได้เคยเตรียมตัวเตรียมใจมาบ้างแล้วก็ตาม

1 ทุ่มตรง....ดวงใจไทยทั้งชาติต้องพบกับความอาดูรสูญเสียจนเกินกว่าจะรับได้ แม้ว่าเราจะได้เตรียมตัวเตรียมใจกันไว้บ้างแล้ว หากแต่เมื่อเวลานี้มาถึงจริงๆ เราชาวไทยทุกคนต่างมิอาจแบกรับความรู้สึกนี้ไว้ได้เลย...

ภาพของพสกนิกรที่กอดกันร่ำไห้ระงมผ่านหน้าจอโทรทัศน์และแถลงการณ์ที่ยืนยันความเป็นจริงทำให้น้ำตาของผมถึงกับเอ่อคลอมาถึงเบ้าตาทั้ง ๆ ที่ผมไม่ใช่คนที่จะร้องไห้ได้ง่าย ๆเลย...

ครั้งสุดท้ายที่ผมร้องไห้นั้นคือเมื่อตอนอายุเก้าขวบ...จากนั้นมาผมถือคติลูกผู้ชายยินดีหลั่งเลือดแต่ไม่ขอหลั่งน้ำตาและเชื่อว่าผมคงไม่มีน้ำตาให้กับความสูญเสียใด ๆ อีกแล้ว

กับคนที่ไม่ร้องไห้ ไม่ใช่ว่าเป็นเสียใจไม่เป็น

หากแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา ผมรู้ได้ทันทีว่าที่ผมเคยคิดไว้นั้นไม่ใช่อีกต่อไป...ความเศร้า..ความอาดูรที่จับไปยังส่วนลึกของจิตใจนั้นมันลึกซึ้งและเศร้าสร้อยเกินกว่าที่ผมจะคาดคิดได้  ยิ่งได้ทบทวนหวนคิดและย้อนกลับไปชมพระราชกรณียกิจของพระองค์ ตลอดจนได้ฟังเพลงที่แต่งถวายความอาลัยให้กับพระองค์ท่านจากบุคคลหลายชาติหลายภาษาแล้วทำให้ผมรับรู้ได้ทันทีว่าความรักที่ผู้คนมีต่อพระองค์นั้นไม่ได้จำกัดแค่เชื้อชาติ, ศาสนา หรือ ข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ใด ๆ ..ยิ่งดูยิ่งซาบซึ้งใจจนน้ำตาพาลจะหลั่งให้ได้ไปเสียทุกครั้ง...




                               เหตุการณ์ที่เศร้าอาดูรครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของชาติไทย

ในวันที่ 14 ตุลาคม ..ผมได้ไปร่วมถวายการเคลื่อนพระบรมศพ และได้พบเห็นความรักและความมุ่งมั่นของพสกนิกรชาวไทยที่มีต่อพระองค์ ผู้คนหลายแสนในชุดดำเดินทางมารวมกันที่โรงพยาบาลศิริราชยาวต่อเนื่องข้ามฝั่งจนล้นท้องสนามหลวงและบริเวณโดยรอบออกไปไกล  บ้างมารอแต่กลางคืน บ้างนั่งรถ, บ้างนั่งเรือ และ อีกมากที่เดินเท้ามาจากหัวลำโพงหรือไกลออกไป ต่างมาเพื่อแสดงความรักและความอาลัยต่อพระองค์ท่่านโดยไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบากใด ๆ ของการเดินทาง...ผมรู้ว่าเราทุกคนเสียใจยิ่งนักและอยากร่วมเป็นคนหนึ่งที่มาน้อมส่งเสด็จพระองค์ท่านสู่สวรรคาลัย..

จากนั้นมาผมได้ตามข่าวกิจกรรมน้อมถวายความอาลัยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศไทย และ ต่างประเทศ การชุมนุมของคนไทยนับหมื่นกับขบวนแถวยาวนับกิโล ๆ ในสวิสเซอร์แลนด์. เยอรมัน. อังกฤษ. อเมริกา. ออสเตรเลีย ฯลฯ และที่ต่าง ๆ ทุกมุมโลกทำให้รู้สึกได้เลยว่าความรักของพระองค์ได้เผื่อแผ่ไปยังบุคคลหลายชาติหลายภาษาทำให้พระองค์ได้ทรงหลายเป็นบุคคลอันเป็นที่รักของขาวโลกไม่ใช่เพียงแค่ชาวไทยเท่านั้น



                                                              ชาวต่างชาติถึงกับหลั่งน้ำตาเมื่อพูดถึงในหลวง

ทุกครั้งที่เห็นภาพหรือกิจกรรมเหล่านี้ก็เป็นทุกครั้งที่ขอบตาต้องร้อนผ่าวขึ้นมาอยางไม่ตั้งใจ

หากทำได้มากกว่าการหมอบกราบให้ต่ำที่สุดเพื่อเป็นการถวายความอาลัยพร้อมส่งเสด็จพระองค์ท่านสู่สรวงสวรรค์แล้ว ผมเชื่อว่าหากมีวิธีอื่นที่แสดงความรักความอาลัยได้มากกว่านี้เราทุุกคนล้วนยินดีกระทำทั้งสิ้น

สำหรับผมแล้ว พระองค์มิเพียงเป็นแต่พระมหากษัตริย์ของเราชาวไทย หากแต่พระองค์ยังเป็นมหาบุรุษที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลผู้หนึ่งอีกด้วย

ขอน้อมส่งพระองค์ท่านสถิตย์ยังสรวงสวรรค์ และผมจะรำลึกในสิ่งที่พระองค์ท่านได้ทรงแนะนำไว้อย่างไม่ลืมเลือน

  มาฟังเพลงที่ศิลปินผู้พิการทางสายตาชาวลาวขับร้อยน้อมถวายอาลัยแด่พระองค์ท่านกันครับ

  


สวรรค์...ไฉนท่านเพียงประทานมหาบุรุษให้กับเหล่าทวยราษฎร์แต่เพียงชั่วคราว ไยท่านต้องนำพระองค์คืนกลับสู่สรวงสวรรค์ด้วยเวลาเพียงเท่านี้ด้วยเล่า ?

พระองค์ท่านได้จากไปแล้ว  ต่อแต่นี้ไปผมจะไม่ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ท่านที่ทรงพระราชทานในวโรกาศต่าง ๆ  เวลาที่ผมเคยเฝ้ารอจะเป็นความว่างเปล่า โลกของผมจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว



                                             ฝรั่งร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ดูแล้วน้ำตาผมคลอโดยไม่รู้ตัวเลย


ผมประทับใจกับคำถวายความอาลัยของ นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐอินเดีย พณฯ นเรนทรา โมดี ที่ได้กล่าวสดุดีพระองค์ไว้ว่า

PM expresses grief over loss of lives in stampede at Rajghat Bridge near Varanasi
People of India and I join the people of Thailand in grieving the loss of one of the tallest leaders of our times, King Bhumibol Adulyadej. King Bhumibol Adulyadej or Rama 9, was widely revered by his people. My thoughts are with his countless well-wishers & family
"ประชาชนชาวอินเดียและข้าพเจ้า ขอถวายความอาลัยร่วมกับประชาชนชาวไทย ในความสูญเสียหนึ่งในผู้นำที่สูงส่งและโดดเด่นที่สุดแห่งยุคสมัยของเรา - กษัตริย์ภูมิพล อดุลยเดช - พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ได้รับการเคารพเทิดทูนอย่างกว้างขวางโดยประชาชนของพระองค์...."

มาฟังอีกเพลงที่คุณปุ๊กกี้ คนลาวก็รักพ่อหลวง ศิลปินชาวลาว ขับร้องน้อมถวายความอาลัยให้พระองค์



เป็นเวลาเนิ่นนานแล้วที่ผมไม่ได้เขียนหนังสือหรือบันทึกเรื่องราวใด ๆ  แต่สำหรับนาทีนี้ผมอยากจะบันทึกความทรงจำเพื่อน้อมถวายความอาลัย .."แด่มหาบุรุษผู้จากไป เหลือไว้แต่รอยทางให้พสกนิกรของพระองค์ได้ก้าวเดินตาม"

บัดนี้ "พ่อ" ผู้เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่อบอุ่นได้จากไปแล้ว แต่สำหรับผมยังคงมี "พ่อ" ในชีวิตจริงผู้ซึ่งสว่างนวลเย็นราวพระจันทร์รออยู่ที่บ้าน

ผมรักพ่อครับ.





No comments:

Post a Comment

อ่านเรื่องราวต่างๆ แล้วอยากจะแบ่งปัน อยากถามต่อเชิญได้เลยครับ..