Tuesday, December 28, 2021

สี่คำนั้น

 ในชีวิตคนๆนึง จากจุดเริ่มต้นจนถึงสิ้นสุดคงมีเรื่องราวที่มากมายหลากหลาย ทุกชีวิตคงมีทั้งความสุข เศร้า ดีใจ และ เสียใจระคนกันไป  ผมเชื่อว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่ทั้งชีวิตจะพบแต่ความสุข หรือ ความทุกข์แต่เพียงอย่างเดียว

เพราะอารมณ์ของคนเรามักมีความซับซ้อนในแบบที่เราเองก็คาดคิดไม่ถึงเลย

ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนนั้น การสื่อสารเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ไม่ว่าจะด้วยคำพูด กิริยาอาการ หรือ ท่าทาง การแสดงออกล้วนแล้วแต่สร้าง หรือ ทำลายความสัมพันธ์ได้ทั้งสิ้น

จากการเป็นทั้ง "ผู้ชม" และ "ตัวละคร" ผมเห็นว่าในการสื่อสารระหว่างกันนั้นมีคำพูดอยู่ 4 คำที่จะเปลี่ยนชีวิต และเราทุกคนควรตระหนักถึง "พลัง" ในการที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาให้ได้

แน่นอน...หากเป็นการเอื้อนเอ่ยแบบสรวลเสลเฮฮาจะให้พูดกันทั้งวันก็ย่อมได้ แต่หากเวลาที่เราควรจะต้องเอ่ยคำเหล่านี้จริงๆ ล้วนมักจะเหมือนมีจะอะไรมาจุกที่ลำคอ พาลให้ติดขัดพูดไม่ออกไปได้เสียทุกครั้ง

ผมก็เป็น และ เชื่อว่าคุณก็เป็น

คำแรกในสี่คำนั้นที่เราควรจะต้องเรียนรู้และความกล้าในการที่จะเอ่ยออกมาคือคำว่า...

"ไม่"

คำปฎิเสธง่ายๆ ที่จะนำพาเราออกห่างจากปัญหาในอนาคต เราอาจจะพูดคำนี้กันทุกวัน วันละอาจจะนับสิบครั้งโดยที่ไม่ได้รู้สึกคิดหรือหนักอกหนักใจอะไรกับการพูดคำนี้ แต่เชื่อเถอะว่าเวลาที่เราจะต้องใช้คำนี้จริง ๆ แล้วมันยากเสมอที่จะกล่าวออกมา แม้แต่ในโลกตะวันตกก็ยังมีหลักสูตรการเรียนรู้และหนังสือขายดีที่ต้องตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในชื่อ "Just say NO" นั่นแสดงใให้เห็นว่าการกล่าวคำปฏิเสธนี้ได้กลายเป็นปัญหาของมนุษย์ในทุกชาติทุกภาษา

"ไม่ได้ครับ" "ไม่ได้ค่ะ" จะยากทุกครั้งเมื่อเราจะต้องกล่าวปฏิเสธต่อ ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ, ญาติ, เพื่อนสนิท, คนรัก, ผู้นำศาสนา หรือ ครูบาอาจารย์ ฯลฯ

วาระที่เราจะต้องใคร่ครวญในการใช้คำนี้มักจะมาจากคำขอร้องในการหยิบยืมทรัพย์สินมีค่า เช่น เงิน โบราณวัตถุ เอกสารหายาก เครื่องประดับ รถยนต์ ปืน รวมไปถึงการขอให้ช่วยค้ำประกันให้ เป็นต้น

ผมเองในทุกครั้งที่ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือเรื่องเหล่านี้ แม้จะรู้สึกลำบากใจอยู่บ้างและรู้ทั้งรู้ว่าการตกปากรับคำในทุกครั้งนั้นจะนำมาซึ่งความเสี่ยงประเภทเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่งกลับต้องเอากระดูกมาแขวนคอ แต่ในหลายๆ ครั้งก็เหมือนอยู่ในสถานะน้ำท่วมปาก ครั้นจะปฏิเสธเด็ดขาดก็ดูเหมือนจะเป็นคนไร้น้ำใจต่อผู้คนรอบข้าง และในเมื่อไม่สามารถกล่าวคำว่า "ไม่" นี้ได้ สิ่งที่จะต้องยอมรับก็คือเรายินดีรับความเสี่ยงที่จะนำปัญหาเข้าตัวเราเอง

และผมก็ไม่เคยผิดหวังเลย เรื่องราวนี้ได้เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ไม่นับหนี้สูญที่เรียกได้ว่ามีเป็นประจำปี

"คนที่จะโกงเราได้ต้องเป็นคนที่เราไว้ใจ" นี่คือคำที่ผมตกผลึกมาจากประสบการณ์จริงโดยที่ไม่มีใครสอน แน่นอน...ถ้าเราไม่ไว้ใจเขา ไหนเลยเขาจะมีโอกาสได้คดโกงเราได้ล่ะ...จริงไหม ?

เอาง่ายๆ คุณลองมองที่ตัวคุณเองก็ได้ว่าเคยมีประสบการณ์เช่นเดียวกันนี้รึเปล่า ?

ในฐานะที่มีประสบการณ์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ผมมีข้อคิดดังนี้

ถ้าเป็นเรื่องคนมายืมเงิน ไม่ว่าญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง ถ้าเขามีความเดือดร้อนและมาขอความช่วยเหลือ ถ้าไม่ใช่เงินจำนวนมากมายและพอช่วยเหลือได้ก็ควรช่วยเหลือเขาไปเถิด น้ำใจที่คุณมอบออกไปนั้นมันจะเหมือนสายฝนชะโลมดินในหน้าแล้งสำหรับเขาเลยทีเดียว สำหรับคนที่เดือดร้อนแล้วต้องมาเอ่ยปากหยิบยืมคนโดยที่เขาไม่มีนิสัยอย่างนี้มาก่อนแล้ว เชื่อเถอะว่าเขาต้องรวบรวมความกล้าเป็นอย่างมากที่จะเอ่ยคำขอยืมนี้กับคุณ

แต่ถ้าเป็นการหยิบยืมเงินจำนวนมาก สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ วัตถุประสงค์ในการเอาไปใช้จ่าย ถ้าเหตุผลคือชักหน้าไม่ถึงหลังหรือเอาไปใช้หนี้ล่ะก็ทำใจไว้เลยว่าโอกาสที่จะได้คืนนั้นแทบจะเป็นศูนย์ 

ถ้าเหตุผลว่าต้องการนำเงินไปลงทุน ก็ให้ดูความชำนาญในสิ่งที่เขาจะทำว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ ?

ถ้าผู้ยืมเป็นพวกติดหรู กินดี อยู่ดี ติดเที่ยว ติดดื่มล่ะรู้ไว้เลยว่าถือเป็นกลุ่มเสี่ยงเช่นกัน

จะให้ใครหยิบยืมเงินจำไว้ว่าหากเป็นจำนวนเงินตั้งแต่สองพันบาทขึ้นไป ตามกฏหมายให้ทำหนังสือไว้เป็นลายลักษณ์อักษรโดยระบุถึงจำนวนเงิน และ วันเวลาที่หยิบยืมให้ถูกต้อง ถ้ามีดอกเบี้ยก็ให้ใส่ลงไปด้วย แต่ตามกฏหมายให้ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปีเท่านั้น

โดยประสบการณ์ เงินที่มีดอกเบี้ยนั้นจะได้รับการใส่ใจในการคืนมากกว่าการยืมที่ไม่มีดอกเบี้ย เพราะหากไม่มีต้นทุนดอกเบี้ยแล้วลูกหนี้มักจะเกิดอาการเฉื่อยแฉะที่จะจ่ายคืนทุกครั้งไป

นอกจากยืมเงินแล้วที่พบเห็นเป็นเรื่องเป็นราวบ่อยๆ ก็คือ การค้ำประกัน

ญาติ พี่ น้อง เพื่อน ลูกศิษย์ ผู้ใหญ่ที่เคารพ แตกคอกันจากเหตุค้ำประกันกันมาเยอะต่อเยอะ ทั้งค้ำประกันรถยนต์ บ้าน เงินกู้ เงินยืมการศึกษา ตอนมาขอร้องส่วนมากก็มากันแบบพูดดีจี๋จ๋า หลายรายผ่านไปไม่ถึงปีความซวยก็มาเยือนผู้ค้ำบ่อยไป

หากคุณปฏิเสธไม่ได้ด้วยความเกรงใจ หรือ ต้องชดใช้หนี้บุญคุณก็แล้วแต่ ในปัจจุบันนั้นกฏหมายค้ำประกันได้มีการปรับปรุงใหม่ จะให้ผู้ค้ำประกันรับผิดชอบเสมือนลูกหนี้นั้นไม่ได้ เราสามารถยินยอมค้ำประกันแต่เพียงบางส่วนได้ไม่จำเป็นต้องค้ำประกันทั้งหมด และ ในกรณีที่เกิดการฟ้องร้องขึ้นมา กฏหมายก็ต้องให้บังคับเอาจากลูกหนี้ให้สิ้นสุดก่อนที่ภาระจะตกมาถึงผู้ค้ำประกันอีกด้วย

เห็นข่าวลูกศิษย์หนีหนี้ทิ้งภาระให้คุณครูใจอารีผู้รับค้ำประกันต้องสิ้นเนื้อประดาตัวหลายๆ คนแล้วรู้สึกโมโหแทนจริง ๆ

นี่ไม่นับถึงทรัพย์สินอื่น เช่น คนมาขอยืมปืน ยืมรถยนต์ ฯลฯ เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนนำแต่ความซวยแบบพิสดารมาให้ทุกครั้ง

ส่วนเยาวชนก็คงไม่พ้นการเชิญชวนให้ทดลองเสพยาเสพติด โดยเริ่มจากบุหรี่ และ เหล้า

ดังนั้นคำว่า "ไม่" จึงเป็นความเด็ดขาดเดียวที่จะทำให้เราไม่ต้องเจอกับสภาวะที่น่าปวดหัวนี้ แต่จะกล่าวปฏิเสธยังไงที่ทำให้เกิดสภาวะบัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น ก็คงขึ้นอยู่กับศิลปะของแต่ละคน

พรุ่งนี้จะมาพูดถึงคำที่สองที่ยากเย็นเหลือเกินที่จะหลุดออกจากปากมาได้.


หมายเหตุ เพลงไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องเพียงแต่ชื่อมันได้เฉยๆ



No comments:

Post a Comment

อ่านเรื่องราวต่างๆ แล้วอยากจะแบ่งปัน อยากถามต่อเชิญได้เลยครับ..