Friday, December 31, 2021

สี่คำนั้น - 3

 

มาถึงคำพูดที่มีความหมายและยากจะกล่าวในชีวิตคนเราคำที่สามกันครับ

เช่นเดียวกับสองคำแรก คำนี้เป็นคำที่เราคุ้นเคยและใช้กันอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน หากแต่เมื่อถึงเวลาที่สมควรกล่าวอย่างที่สุดแต่กลับมิสามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้ซะอย่างนั้น

คำแรกคือ "ไม่"

คำที่สองคือ "รัก"

ส่วนคำที่สามคือคำนี้...

"ขอโทษ"

ฟังดูแล้วมันไม่ได้ยากเย็นเลยใช่ไหม ? ผมเชื่อว่าเราทุกคนได้ใช้คำพูดนี้เป็นประจำ อย่างน้อยก็เป็นคำที่เราเอ่ยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เชื่อไหมครับว่าเวลาที่สมควรจะต้องพูดอย่างยิ่งคำนี้กลับกล่าวออกมาได้อย่างยากเย็นนัก

คำ "ขอโทษ" นี้ เราใช้ตั้งแต่เรื่องที่เล็กน้อยที่สุดอย่างเช่น ทำน้ำหก, เดินชนกับคนแปลกหน้า, มาสายผิดเวลานัด หรือ แม้แต่เรื่องราวที่สาหัสสากรรจ์ที่สุด เช่น การเผลอเรอขับรถชนคนตายเราก็ใช้คำนี้เช่นเดียวกัน

คำนี้น่าจะเป็นคำๆเดียวที่เราไม่สามารถเพิ่มเติมระดับของความรู้สึกเข้าไปได้

คงไม่มีใครใช้คำพูดว่า "ขอโทษมาก" หรือ "ขอโทษอย่างที่สุด" กันนะครับหรืออาจจะมีก็ได้แต่อย่างน้อยผมก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน

จะผิดพลาดไม่ว่าเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก เราก็ใช้แต่คำ "ขอโทษ" นี้มาแสดงความรู้สึก แต่จะเอ่ยอย่างจริงใจหรือไม่นั้นก็คงต้องดูท่าทางประกอบในระหว่างเอ่ยคำนี้เข้าไปด้วย

บ้างก็พูดออกไปส่งๆ พอเป็นพิธี และบ้างก็มีท่าทีสำนึกเสียใจให้เห็นอย่างเด่นชัด

ในเมื่อเป็นคำพูดที่ใช้กันอยู่แทบจะในชีวิตประจำวันแล้ว ทำไมผมถึงบอกว่ามันเป็นหนึ่งในคำที่เอ่ยออกมายากที่สุดนะเหรอ ?

เพราะคำๆนี้มักจะถูกความรู้สึกอื่นๆ บดบังหรือกดทับจนทำให้เราไม่สามารถเอ่ยมันออกมาได้ในสถานะการณ์อันควร และสิ่งที่บดบังไม่ให้คนเราได้กล่าวคำนี้ออกมาได้ง่ายๆ ก็คือ ตำแหน่ง, ฐานันดรศักดิ์, อาวุโส, ความหยิ่งทะนงตน, การถือศักดิ์ศรีของตนเอง หรือจะเรียกรวมๆ ว่าอีโก้ของเราก็ว่าได้

ผมเห็นมิตรภาพของเพื่อนฝูงที่รักกันมานับสิบปีต้องขาดจากกันเพียงแค่คำพูดจากอารมณ์ไม่กี่ประโยค, พ่อแม่พี่น้องญาติผู้ใหญ่มึนตึงใส่กัน ตัดขาดกันเพียงเพราะขาดความเข้าใจระหว่างกันและไม่มีใครยอมเป็นฝ่ายที่ลดราวาศอกก่อน หรือแม้แต่คู่ค้าที่เคยทำธุรกิจร่วมกันมาด้วยดีแต่ความสัมพันธ์กลับต้องพังทลายสิ้นสุดลงจากเหตุผิดพลาดแต่เพียงเล็กน้อย ฯลฯ

เชื่อไหมครับว่าเรื่องราวข้อขัดแย้งต่างๆ เหล่านี้จะลดความโกรธเคืองและไม่เข้าใจกันได้ด้วยแค่เพียงกล่าวคำขอโทษแค่นั้น

แค่เพียงเอ่ยคำขอโทษอย่างจริงใจ ไม่ถืออาวุโส หรือ ลำดับฐานะยศศักดิ์จะเป็นทางออกในเบื้องต้นได้อย่างดีที่สุด

น่าเสียดายเมื่อถึงเวลาจริงๆ กับไม่มีฝ่ายไหนเลยที่จะยอมอ่อนข้อให้กันก่อน ต่างฝ่ายต่างก็อยากจะให้คู่กรณีเป็นผู้ยอมรับความผิดแล้วพูดออกมาก่อนทั้งนั้น เพราะต่างคนต่างก็คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก

เรื่องแบบนี้เกี่ยงกันไป เถียงกันไปก็ไม่มีอะไรที่ดีขึ้นมาหรอกครับ...จริงไหม ?

ปัญหาเรื่องนี้ที่จริงก็แก้ไขไม่ยากเลย เช่น สมมติว่าเราขุ่นเคืองใจกับเพื่อนฝูง หรือเมื่อมีข้อขัดแย้งกับใครสักคน แทนที่เราจะรอให้คู่กรณีเป็นฝ่านพูดออกมาก่อน เรากลับชิงเอ่ยก่อนจะดีกว่าไหมครับ ?

สำหรับผมแล้วมีแต่คนที่ใจกว้างกว่า เอื้ออารีกว่าและเห็นความสำคัญของมิตรภาพมากกว่าเท่านั้นที่จะยินยอมเอ่ยคำนี้ออกมาก่อนโดยไม่เกี่ยงงอน

แค่คำ "ขอโทษ" เพียงคำเดียวเท่านั้นเราจะได้เห็นถึงอานุภาพของมันในการลดทอนข้อขัดแย้งได้เป็นอย่างดีทีเดียว และเวลาที่เอ่ยคำนี้ออกมานั้นอย่าลืมพูดออกมาให้ชัดเจน ใช้ท่าทีที่อ่อนโยนสำนึกผิดพร้อมกับสบตาคู่กรณีไปด้วย จะช่วยให้คลี่คลายปัญหาที่มีได้อย่างง่ายดายเกินคาด

ผมเลยอยากเชิญชวนให้พวกเราลองปรับทัศนคติและวิธีคิด หันมาใส่ใจกับความกล้าที่จะเป็นคนเริ่มเอ่ยคำนี้ก่อน ไม่ว่ากับเพื่อน ญาติพี่น้อง คู่ค้า หรือ แม้แต่คนที่มีอาวุโสน้อยกว่า ตัดอีโก้ตัวเองออกไป และไม่ต้องสนใจว่าใครจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด

แล้วคุณจะพบว่าการพูดคำนี้มันไม่ได้ยากเลย แถมมีแต่เรื่องที่น่ายินดีตามมาด้วยซ้ำ

ไม่ต้องเชื่อผม แค่ลองทำแล้วรอดูผลลัพธ์ของมันเท่านั้น

สำหรับวันนี้ขอลาทีปี 2564 ปีที่แสนยุ่งยากและลำบากสำหรับเราหลายๆ คน

พรุ่งนี้พบกันใหม่ในวันแรกของปี 2565 กับคำที่เอ่ยได้ยากเย็นคำสุดท้ายของ "สี่คำนั้น" ครับ. 







No comments:

Post a Comment

อ่านเรื่องราวต่างๆ แล้วอยากจะแบ่งปัน อยากถามต่อเชิญได้เลยครับ..