Thursday, October 17, 2013

คลายร้อนกับ All Inclusive package ที่บาหลี

โดย....ชีวิตนี้มีแต่เรื่องเที่ยว


ยอดมะพร้าวที่แกว่งไกวรับกับสายลมเย็นสดชื่นริมหาดนูสาดัวที่เกาะบาหลีนั้นถือได้ว่าเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจครั้งหนึ่งในการเดินทางของผม

แค่ในราวสี่ชั่วโมงจากกรุงเทพ...ผมได้เดินทางมาถึงเกาะบาหลี เกาะที่มีขนาดที่ไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเกาะชวาและหมู่เกาะฟลอเรส หมู่เกาะใหญ่ในจำนวนกว่า 16,000 เกาะที่รวมกันเป็นประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบั

ที่บาหลีนั้นมีสนามบินนานาชาติที่ชื่อว่า งูราไรย์ (Ngurah Rai International Airport) ซึ่งเป็นชื่อของวีรบุรุษของชาติในประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งของอินโดนีเซีย  การออกแบบตัวอาคารสนามบินงูราไรย์นั้นต้องบอกว่าคนละเรื่องกับการออกแบบสนามบินในเมืองไทยทีเดียวเพราะสนามบินทั่วๆ ไปนั้นมักจะเน้นความหรูหราสะดวกสบายและงานสถาปัตยกรรมที่ดูไปในแนว Modern  Style เสียเป็นส่วนมาก ส่วนสนามบินที่นี่นั้นเขาออกแบบงานสถาปัตยกรรมให้กลมกลืนกับสภาพธรรมชาติของชาวเกาะบาหลีที่ประชากรส่วนใหญ่ของเกาะนับถือศาสนาฮินดู อีกทั้งยังคำนึงถึงสภาพแวดล้อมข้างเคียงอีกด้วย ดังนั้นสนามบินที่บาหลีนี้จึงเป็นเพียงอาคารสีแดงสูงประมาณ 3 ชั้นที่มีลักษณะเหมือนบ้านเป็นหลังขนาดใหญ่มากกว่าที่จะเป็นสนามบิน ซึ่งก็ดูเท่ห์ไปอีกแบบหนึ่งและถ้าเทียบกับบ้านเราแล้วก็น่าจะเป็นสนามบินบนเกาะสมุยอะไรประมาณนั้น...

ออกจากสนามบินแล้วเรามุ่งเดินทางสู่โรงแรม Grand Mirage Hotel ซึ่งตั้งอยู่ที่หาดนูสาดัว แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งบนเกาะ ซึ่งที่เกาะบาหลีนั้นมีชายหาดที่มีชื่อเสียงหลายต่อหลายแห่ง อาทิ หาดคูต้า (หาดนี้คนไทยจะรู้จักกันดีมากเพราะเป็นชายหาดเก่าแก่ที่สร้างชื่อให้กับบาหลีอีกทั้งยังเต็มไปด้วยย่านการค้าอีกมากมายหลายแห่ง...สำหรับที่พักในย่านนี้นั้นก็มีหลากหลายทั้งโรงแรมระดับห้าดาว อย่างเช่น Ramada ไปจนกระทั่งโรงแรมสี่ดาวและเกสเฮ้าส์หลากหลายประเภท) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นโรงแรมในระดับสี่ดาวและเกสเฮ้าส์เสียเป็นส่วนมาก



หากเดินทางมาเป็นหมู่คณะทางโรงแรมจะเรียงหินต้อนรับให้ครับ


ส่วนในห้องพักก็จะจัด Fruit Basket ต้อนรับทุกห้องเลย

ส่วนหาดนูสาดัวนั้นเป็นชายหาดที่โด่งดังมาสักประมาณสิบปีมานี่เอง และถือได้ว่าเป็นที่รวมของโรงแรมระดับห้าดาวหรือบรรดา Luxury hotels ทั้งหลายที่จะตั้งกันอยู่เรียงรายริมหาดนี้ และจุดหมายปลายทางของเราในทริปนี้ก็คือ Grand Mirage Hotel โรงแรมหรูบนหาดนูสาดัว...

จากสนามบินมาถึงโรงแรมจะว่าไปแล้วก็เป็นระยะทางที่ไม่ไกลมากนัก เดินทางด้วยรถยนต์ก็จะใช้เวลาประมาณ 20 นาที แต่ด้วยที่การจราจรบนเกาะบาหลีนั้นยังไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยมากนัก ดังนั้นเราจึ่งใช้เวลาเดินทางมากกว่าเดิมคือประมาณสักครึ่งชั่วโมงได้
เมื่อถึงโรงแรมแล้วผมก็ได้แจ้งกับรีเซพชั่นว่าผมได้จองห้องมาในแบบ All inclusive packageซึ่งเป็นแพคเกจที่รวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างไว้แล้วทั้งห้องพัก, กิจกรรมและการกินดื่มต่าง ๆ ในโรงแรมแบบไร้ขีดจำกัด (งวดนี้กะว่าจะมาถล่มให้เต็มคราบเลย) ทางเจ้าหน้าโรงแรมก็ดีใจหายพอทราบว่าผมใช้แพคเกจนี้ทางโรงแรมจะถือเสมือนว่าเป็น VIP จึงได้นำไปยังห้องรับรองพิเศษเพื่อทำการเช็คอินพร้อมด้วยผ้าเย็นและเครื่องดื่มต้อนรับ และหลังจากเช็คอินแล้วผมจะได้สายรัดข้อมือสีทองแบบมี Tag ติดข้อมือไว้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ย้ำว่าห้ามตัดออกเด็ดขาดในระหว่างที่พักอยู่ในโรงแรมเพราะสายรัดข้อมือนี้จะเป็นสัญลักษณ์ให้ส่วนบริการทุกส่วนของโรงแรมได้ทราบว่าแขกผู้ที่มีสายรัดข้อมือนี้สามารถที่จะใช้บริการจากทุกส่วนของโรงแรมได้ ไม่ว่าจะเป็นห้องอาหารต่าง ๆ (รวมแล้วห้าแห่ง, ฟิตเนสเซ็นเตอร์, เกมส์รูม, อินเตอร์เนต, อุปกรณ์กีฬาทางน้ำทุกชนิด (ยกเว้นประเภทใช้มอเตอร์), กิจกรรมเวิร์คชอป ฯลฯ และเมื่อสิ้นสุดการพำนักหรือในวันเช็คเอาท์ทางโรงแรมก็จะเป็นผู้ตัดสายรัดออกเอ



สายรัดข้อมือที่ต้องอยู่กับเราจนเช็คเอาท์

ห้องพักที่ผมได้รับนั้นเป็นแบบห้องชมทะเลหรือ ซีวิว ที่มองเห็นทะเลบาหลีและชายหาดได้อย่างชัดเจน ภายในห้องก็มีอุปกรณ์เครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ ตามที่โรงแรมในระดับห้าดาวจะพึงมี แต่ที่น่าสนใจก็คือส่วนของห้องน้ำที่แบ่งเป็นทั้งส่วนเปียกและส่วนแห้งที่สำคัญตรงอ่างอาบน้ำมีหน้าต่างบานใหญ่ที่สามารถเปิดออกได้ทะลุถึงเตียงนอนได้โดยตรง ซึ่งเหมาะมากสำหรับคู่ฮันนีมูน (เฮ้อ! คิดแล้วอิจฉาจังเพราะเรามาเพียงคนเดียวโดด ๆ เลยเนี่ย) และเมื่อลองสำรวจมินิบาร์ หรือตู้เย็นเล็ก ๆ ที่ตั้งไว้บริการในห้องปรากฎว่าอัดแน่นไปด้วยเครื่องดื่มประเภทต่าง ๆ ซึ่งเราสามารถนำมาดื่มได้เพราะรวมอยู่ในแพคเกจด้วย ซึ่งทางโรงแรมเขาจะมาเติมเครื่องดื่มในมินิบาร์ให้เราวันละครั้งหรือบ่อยกว่านั้นถ้าเราดื่มได้แบบไม่กลัวไตพัง (ยกเว้นหลังเที่ยงคืนไปแล้วจะไม่มีบริการรูมเซอร์วิสสำหรับเครื่องดื่มและมินิบาร์)



ห้องนอนสะอาดสะอ้านสวยงาม


พร้อมมินิบาร์ที่ Refill ให้วันละครั้ง


ห้องอาบน้ำที่เปิดทะลุได้ถึงเตียงนอน

ทำความรู้จักกับห้องพักไปแล้วต่อไปก็ชะแว้ปไปเดินเล่นริมชายหาดซะหน่อย ก็พบกับสาวสวยหนุ่มหล่อจากนานาชาติทั้งหัวดำหัวทองต่างพากันมานอนอาบแดดที่เก้าอี้ชายหาดและทำกิจกรรมชายหาดกันอย่างมากมาย อืมม์สมกับคำร่ำลือว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ยอดนิยมแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวจากทั้งยุโรปและเอเชีย โดยเฉพราะที่ผู้จัดการโรงแรมบอกเราว่าอัตราการเข้าพักนั้นสูงถึง 90 95 เปอร์เซ็นต์ที่เดียว (พอฟังอย่างนี้แล้วอึ้ง อึ้ง และ อึ้งแทนโรงแรมดี ๆ สวย ๆ ในเมืองไทยเหลือเกินเพราะอัตราการเข้าพักของเรานั้นใครได้ 70-80 เปอร์เซ็นต์ก็ถือว่าซู้ดยอดแล้ว)


บรรยากาศของโรงแรมมองจากภายนอก

ที่ชายหาดนั้นนอกเหนือจากผมจะได้เห็นสาวสวยหนุ่มหล่อแล้ว ยังสังเกตเห็นเรือคยัก, เรือใบ, จักรยาน, สนามวอลเล่ย์บอลชายหาด, สนามฟุตบอลชายหาด, สนามเปตอง และสกูตเตอร์กับสปีดโบ๊ทจอดอยู่รอให้บริการกับนักท่องเที่ยว ส่วนถัดเข้ามาด้านในก็จะมีสระว่ายน้ำสวย ๆ อยู่สองสระที่ออกแบบสไตล์ฟรีฟอร์มมีเกาะต้นไม้อยู่ตรงกลางพร้อมด้วยบาร์เครื่องดื่มริมสระ ส่วนบริเวณด้านหนึ่งนั้นมีแป้นบาสเกตบอลติดไว้ให้คนมาว่ายน้ำได้ชูตบอลเล่น พร้อมทั้งยังมีโกลล์ของโปโลน้ำติดตั้งไว้อย่างชั่วคราวอีกด้วย

สาวน้อยกำลังพยายามเล่นหมากรุกชายหาด


กิจกรรมกลุ่มด้วยการแข่งโปโลน้ำก็ได้


อีกมุมสวย


อุปกรณ์กีฬาที่ใช้ได้ไม่เสียเงินเพิ่ม


ลองเล่นเรือใบก็ไม่เลวนะ เพราะถ้าไปหาเล่นเองราคาค่อนข้างแพง

ถัดมาก็เป็นอาณาบริเวณสนามเด็กเล่นที่มีเครื่องเล่นสำหรับคุณหนูหลายชนิด ใกล้ๆ กันก็จะมีตัวหมากรุกสากลขนาดใหญ่ตั้งไว้กับพื้นที่ทำเป็นตารางหมากรุกให้เดินกัน สงสัยว่านี่ถ้าใครที่เป็นคู่มือกันมาเล่นด้วยกันละก็กล้ามคงจะขึ้นเป็นมัด ๆ แน่นอนเผลอ ๆ จบเกมส์แล้วจะนอนซมเอาเลยนะไม่ว่า
ใกล้ๆ กับสนามหมากรุกก็จะเป็นพื้นที่ๆจัดกิจกรรมเวิร์คช็อบต่าง ๆ เช่น งานหัตถกรรม, ทำอาหาร และ อื่น ๆ



Work Shop ในหลากหลายกิจกรรม เวลานี้สอนถักรูปนก


ได้มาหนึ่งตัว

เลยจากสำรวจกิจกรรมแล้วก็ถึงคราวสำรวจร้านอาหารภัตตาคารบ้างหละ..แฮ่ม นี่หละวัตถุประสงค์หลักเลยล่ะสำหรับรายการ All inclusive ของผม

เริ่มภัตตาคารอาหารอิตาเลียนก่อนเลย อ้อ! ยังไม่เปิดแฮะ เขียนบอกไว้ว่าเปิดบริการเวลา 1700 2230...ไม่เป็นไร อาฆาตไว้ก่อนเลยเดินเฉไฉไปดูที่คาเฟ่ที่จัดไว้สำหรับบริการอาหารเช้า, กลางวันยันไปถึงเที่ยงคืน ก็เลยทดลองสั่งคอกเทลมาดื่มเรียกความสดชื่นซะหน่อย ...โอย แจ่มครับแจ่มจริง ๆ คิดในใจว่าเริ่มคุ้มแล้ว ๆ



ภัตตาคารอิตาเลียน La Cascata บรรยากาศดี อาหารอร่อย

ต่อไปก็เป็นคิวอาหารซีฟู้ดประเภทปิ้งย่างทั้งหลาย..ผมลองสั่งเมนูอาหารทะเลย่างพร้อมคอกเทลแล้วตบท้ายด้วยไอศครีมเย็น ๆ ริมชายหาด โอ๊ย..ซู๊ดยอดอย่าบอกใคร...



ภัตตาคาร Fisherman Grill ริมชายหาด รับลมเย็นเต็มๆ


ลอง Tuna Steak ดูก่อนเพื่อเรียกน้ำย่อย


ต่อด้วยไอศครีมดับร้อน

ยังครับยังไม่พอเดินเลียบชายหาดไปหน่อยไปที่ร้านอาหารจีนที่ชื่อ Shopsticks ที่ตั้งอยู่ที่โรงแรม Club Mirage ที่อยู่ใกล้กันและก็ลองสั่งอาหารจีนมาทานอีกหนึ่งชุด โอย..ตายครับตาย..เดินกลับเกือบไม่ไหวกะว่าจะเรียกให้พนักงานโรงแรมเอาสปีดโบ๊ตมาลากกลับซะแล้ว


ที่ Shop sticks เริ่มด้วยน้ำผลไม้ปั่นและซุป


ตามด้วยอาหารเซ็ท ที่เห็นนี้กินคนเดียวนะครับ..เอื๊อก


ตบท้ายด้วยผลไม้ล้างปาก

จากภัตตาคารอาหารจีนผมเดินตุรัดตุเร่ออกมาด้านหน้าโรงแรมเพื่อสำรวจตามความอยากรู้อยากเห็น ก็พบว่าถนนด้านหน้าโรงแรมนั้นเป็นถนนที่เลียบไปตามชายหาดสู่ Tanjung Benoa ชายหาดที่มีชื่อเสียงอีกแห่งและฝั่งตรงข้ามโรงแรมเรียงรายไปด้วยร้านอาหารและร้านนวดเพื่อสุขภาพในสไตล์ Bali massage ซึ่งการนวดสไตล์บาหลีนี้นับได้ว่าเป็นการนวดที่มีชื่อเสียงที่สุด 1 ใน 3 ของโลก อีกสองประเภทที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ Thai และ Swedish massage นั่นเอง  จุดเด่นของการนวดแต่ละอย่างก็คือ การนวดไทยนั้นจะใช้การจับเส้นและดัดกล้ามเนื้อเป็นหลัก ซึ่งใครที่เคยนวดใหม่ ๆ อาจจะถึงจับไข้ได้เลย สำหรับการนวดแบบสวีดิชนั้นจะเน้นการผ่อนคลายแบบเบา ๆ สบาย ๆ ที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวหนังมากกว่า รูปแบบนี้อาจไม่สะใจพวกซาดิสม์สักเท่าไรแต่หนุ่ม ๆ ของจะชอบ (ถ้าได้ Terrapist ที่สาวๆ สวย ๆ นะ) ส่วนการนวดแบบบาหลีนั้นจะเน้นวิธีการยืดกล้ามเนื้อแบบเบา ๆ ผสมกับการใช้ฝ่ามือคลึงซะเป็นส่วนมาก



Thalasso Spa เป็นสปาที่ติดอันดับดีที่สุดแห่งหนึ่งในบาหลี เป็นสปาของโรงแรม Grand Mirage

ถึงตอนนี้มีคนคงอยากถามว่า แล้วที่บาหลีมีนวดที่กำลังฮิตในบ้านเราแบบนวดกะปู๋มั๊ย ฮ่า..ขอตอบว่าไม่มีนะคร๊าบ เพราะนวดแบบนี้เห็นจะมีแต่ในไทยและญี่ปุ่นเท่านั้นกระมัง.. แต่ก็ว่าไม่ได้นะครับเพราะว่า Erotic Massage นี้ก็กำลังขยายตัวเติบโตไปตามเมืองใหญ่ ๆทั่วโลกเหมือนกัน (สงสัยว่าจะแอบมาดูงานที่เมืองไทย)..
หลังจากเมียงๆ มอง ๆ มาได้สักพัก ดูบรรยากาศร้านและการตกแต่งพร้อมทั้งพิจารณารูปร่างหน้าตาและฝ่ามือพิฆาตของบรรดาหมอ ๆ แล้วก็เลยเลือกที่จะผลุบเข้าไปในร้านหนึ่งเพื่อทดลองดูว่างั้นเถอะ ร้านที่ว่านี้มีคุณแม่และคุณลูกท่าทางเป็นเจ้าของร้านมาบริการให้ด้วยตัวเองเลย
ในราคาประมาณ 60,000 รูเปียส์ (ประมาณ 225 บาท) กับเวลา 90 นาที ก็ถือว่าการนวดนั้นประสบความสำเร็จด้วยดี คือคนนวดก็นวดไป ส่วนคนถูกนวดก็หลับไปกรนไป ถือว่าใช้ได้ ๆ ส่วนจะนวดถูกใจหรือไม่อย่างไรตอบว่าไม่รู้เพราะหลับ...แฮ่ม

ซัดเซพเนจรจากหน้าโรงแรม Club Mirageเดินเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ จนถึงหน้าโรงแรม Grand Mirage ก็พบกับร้านนวดอีกมากมายหลายร้านกับหมอสาว ๆ สวยๆ ก็เลยนึกในใจว่าเดี๋ยวเหอะ ๆ ฝากไว้ก่อนนะพรุ่งนี้จะมาใหม่..
เดินกลับเข้าไปในโรงแรมคราวนี้เลยได้เห็นบรรยากาศหน้าโรงแรมชัด ๆ เสียที เพราะตอนเดินทางเข้ามาเช็คอินนั้นรถมาส่งจนเทียบบันไดขึ้นเลย...ด้านหน้าโรงแรม Grand Mirage นั้นที่จริงแล้วเขาตกแต่งประดับประดาไว้อย่างดีด้วยน้ำพุที่พ่นออกมาจากงวงช้างที่เรียงรายและตกแต่งในลักษณะบาหลีสไตล์ พอเดินเข้าไปในลอบบี้ก็จะพบกันน้ำตกขนาดใหญ่ที่ไหลจากชั้นสองของโรงแรมลงสู่ด้านล่างที่มีปลาคาร์ปมากมายว่ายอยู่ เดินเลยไปอีกหน่อยก็จะเป็น Shopping Arcade ที่มีร้านเสื้อผ้าและขายของที่ระลึกซึ่งอยู่ทางเดียวกับทางไปห้องประชุมขนาดใหญ่



ช้างพ่นน้ำที่หน้าโรงแรม


Lobby ใหญ่โตโอ่โถงแต่เป็น Open air 


สวนน้ำตก ในบ่อมีปลาคาร์ปสวย ๆ มากมาย


ส่วนของ Shopping Arcade

ผมเลือกที่จะเข้าไปเยี่ยมชม Fitness Center และ Game Room ก็ได้เห็นอุปกรณ์และเครื่องเล่นมากมายหลายชนิดพร้อมด้วยเทรนเนอร์ที่คอยให้บริการอยู่ ส่วนเกมส์รูมนั้นก็มีกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งสนุกเกอร์, ดาร์ท, ไพ่และอีกตั้งหลายอย่าง ผมก็เลยยกแขนใช้บัตรเบ่งแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อขอให้อินเตอร์เนตฟรีโดยโชว์ข้อมืองาม ๆ ให้ดู ก็เลยได้รับการต้อนรับขับสู้ด้วยดีพร้อมบริการอินเตอร์เนตให้วันละหนึ่งชั่วโมงตามสิทธิที่อินเตอร์เนตคาเฟ่...

ส่งท้ายของวันผมกลับมาเดินที่ชายหาดอีกครั้งเพื่อสัมผัสกับแสงสียามย่ำค่ำ ที่ชายหาดนูสาดัวนั้นจะเป็นชายหาดทางด้านตะวันออกของเกาะบาหลี ซึ่งสามารถมองเห็นภาพพระอาทิตย์ขึ้นจากหน้าชายหาดได้อย่างชัดเจน ส่วนพระอาทิตย์ตกนั้นไม่สามารถเห็นได้ แต่ผมก็ได้พบกับทะเลสีครามและเกลียวคลื่นที่ทะยอยซัดฝั่งกับสายลมเย็นที่มาปะทะใบหน้าทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก



เตียงอาบแดด ตอนนี้ยังร้างผู้คน


มีการแข่งขันฟุตบอลชายหาดด้วย ใครสนใจลงขื่อร่วมทีมได้


หรือจะเลือกเล่นกีฬาทางน้ำก็ได้ มีครูฝึกคอยดูแล


...อย่างน้อยก็เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่เราปล่อยใจให้อยู่กับธรรมชาติโดยปราศจากการเร่งรัดของเวลาและสิ่งแวดล้อม ให้อารมณ์ของเราอยู่กับความสงบนิ่ง มีสายลมที่โลมไล้อยู่รอบกายกับเสียงเกลียวคลื่นที่ซัดฝั่งเป็นเพื่อนปลอบความเหงา...

ตามที่ผมเห็นจากเอกสารของโรงแรมบอกว่าในเวลาหนึ่งทุ่มตรงจะมีการแสดงทางวัฒนธรรมที่บริเวณลานอเนกประสงค์ที่เป็นบริเวณที่จัดเลี้ยงกลางแจ้ง ผมเลยลองเตร่เข้าไปดูก็พบว่าเป็นฟังก์ชั่นส่วนหนึ่งของโรงแรมที่เขาจะจัดให้มี Dinner with show ในทุกวันอังคาร, พฤหัส และอาทิตย์ ในบริเวณนั้นมีเวทีการแสดงขนาดใหญ่ที่ยกสูงอย่างถาวรตั้งอยู่พร้อมด้วยประตูแห่งความดีและเลวที่มีลักษณะเหมือนสถูปที่ผ่าครึ่งซีกตั้งแยกฝั่งไว้ตามแบบฉบับของบาหลี รอบด้านนั้นทางโรงแรมกำลังจัดเตรียมไลน์อาหารและซุ้มต่าง ๆ เพื่อให้บริการกับแขกของโรงแรม ส่วนบนเวทีนั้นกำลังมีการแสดงจากนักดนตรีที่ร้องเพลงสากลขับกล่อมบรรยากาศให้รื่นเริง...



แผงขายของที่ระลึก ราคาถูกมากขอบอก..


งานฝีมือสวย ๆ ตรึม

ในเมื่อการแสดงพื้นเมืองยังไม่ได้เริ่มขึ้นผมเลยเดินไปในบริเวณสวนของโรงแรมที่เห็นคนกำลังมุงดูอะไรกันอยู่เป็นกลุ่ม ๆ ก็ได้พบกับการจัดวางแผงขายสินค้าเร่ในแนวแบกะดินแบบตลาดนัดเมืองไทยซึ่งมีอยู่สามสี่ร้านด้วยกัน สินค้าที่ขายนั้นทุกร้านจะเป็นของที่ระลึกจำพวกสร้อยคอลูกปัด, กำไลข้อมือ, ผ้าบาติก, ไม้แกะสลักเป็นรูปต่าง ๆ, ภาพวาดสีน้ำมัน และ อื่น ๆ อีกมากมายหลายชนิดซึ่งราคานั้นเรียกได้ว่าถูกมากแถมต่อรองได้อีกต่างหาก พวกร้านค้าต่าง ๆ นี้เขาได้รับอนุญาตจากโรงแรมให้เข้ามาขายได้อย่างจำกัดจำนวนร้านและก็สามารถวางขายได้เฉพาะยามค่ำคืนเท่านั้น ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นกิจกรรมอีกอย่างที่ทำให้นักท่องเที่ยวได้เพลินเพลินกับการเลือกซื้อสินค้านานาชนิดเป็นที่ระลึก

ผมได้เดินกลับเข้าไปยังลานอเนกประสงค์อีกครั้งเพื่อชมการแสดงเมื่อเวลามาถึง ในค่ำคืนนี้นั้นเป็นการแสดง Kejak Dance ซึ่งจำลองการแสดงของหนุมานและเหล่าวานรที่ปราบปรามเหล่ามาร การแสดงนี้จะเต็มไปด้วยเสียงลิงที่ร้อง คีจั๊ก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เล่นเอานอนละเมอคีจั๊กๆๆๆๆๆ ไปกับเขาทั้งคืน...



มีดนตรีกล่อมบรรยากาศก่อนการแสดงจะเริ่ม


การแสดงทางวัฒนธรรมจะเปลี่ยนหมุนเวียน แต่วันนี้ได้ดู Kejak Dance

ที่จริงแล้วนอกจากการแสดงชุดวัฒนธรรมที่โรงแรมจัดให้ชมเป็นประจำแล้ว ทางโรงแรมได้สร้างศูนย์การแสดงใหม่ในชื่อ Devdan ซึ่งศูนย์การแสดงใหม่นี้จะมีความโอ่อ่าและตระการตามาก ถือได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นหน้าตาแห่งใหม่ของเกาะบาหลีเลยทีเดียว  ผมได้พบกับผู้จัดการชาวยุโรปของโรงละคร Devdan และได้คุยกันก็เลยรู้ว่าแกเป็นผู้คร่ำหวอดกับการแสดงเวทีนี้มาอย่างยาวนาน และได้ศึกษาเปรียบเทียบธุรกิจนี้ในประเทศต่างๆ เป็นอย่างดี แกรู้ว่าผมมาจากเมืองไทยก็เลยยกตัวอย่างสยามนิรมิตมาเปรียบเทียบให้ฟังว่าของเรากับของเขานั้นมีจุดอ่อนจุดแข็งที่แตกต่างกันอย่างไร...ในความรู้สึกของผมนั้นผมว่าสยามนิรมิตนั้นก็ถือได้ว่ายอดเยี่ยมทั้งการแสดงและฉากอยู่แล้ว แต่ Devdan ก็ไม่ได้น้อยหน้ากว่าเราแต่อย่างใด ที่มากกว่าก็เห็นจะเป็นรูปแบบการแสดงที่ Devdan จะออกแนวกายกรรมที่ต้องใช้ทักษะของนักแสดงที่มากกว่าเรา..และอีกอย่างก็คือค่าเข้าชมไงครับ..ค่าเข้าชมของเขาแพงกว่าเราแต่ก็เป็นที่นิยมชมชอบและ A must to see ของชาวต่างชาติที่มาเที่ยวบาหลีเหมือนกัน...

ก่อนปิดท้ายของวันผมได้กลับมาที่ภัตตาคาร La Cascata ภัตตาคารอาหารอิตาเลียนตามที่อาฆาตไว้..เช่นเดิมครับเบ่งเข้าไปด้วยการโชว์ข้อมืออวบ ๆ พนักงานก็ได้พาไปนั่งที่โต๊ะพร้อมกับเอาข้าวตอกดอกไม้มาโปรยต้อนรับพร้อมกับนำเมนูมาให้เลือก ผมเลือกสลัด กับ ซุปฟักทองแสนอร่อยเป็น Entrée มีบาร์ขนมปังพร้อมชีสหลากชนิดให้เลือกตัก และต่อด้วยพาสต้ากับกุ้งสดตัวใหญ่โรยหน้าด้วยพาเมซานชีสเป็นจานหลัก ตามด้วยขนมหวานและเครื่องดื่มเย็นหอมชื่นใจ โอ..เท่านี้ก็สุขจนล้นคอหอยแล้วละครับ ตอนนี้ต่อให้มีคอกเทลแสนอร่อยนานาชนิดมาให้เลือกจิบก็คงจะไม่ไหวแล้วครับ เฮ้อ...ผมว่าชูชกก็ชูชกเหอะ มาเจอแบบ Unlimited อย่างนี้ก็คงถอดใจเหมือนกัน



ซุปฟักทองมาในชามโตอย่างโหด..แต่หมดเรียบ



ต่อด้วย Penne Cheese ใส่กุ้งลายเสือตัวเบ้อเริ่ม


กับวันเวลาที่แสนสุขที่ Grand Mirage Bali นั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว...เวลา 4 วัน 3 คืน หรืออย่างน้อย 3 วัน 2 คืนนั้นเชื่อว่าจะทำให้นักเดินทางทุกคนได้พบกับห้วงเวลาแห่งการผ่อนคลายเพื่อเติมสุขในดวงใจเติมไฟให้ความฝันกับคืนวันที่ต้องการพักผ่อนอย่างแท้จริง....

ลองไปพักผ่อนกับที่ Grand Mirage Bali เถอะครับ เติมไฟให้ชีวิตหรือเรียกวันเก่า ๆ ของคนรักคุณคืนกลับมา จะไปเป็นคู่หรือเป็นหมู่คณะก็ขอให้มีความสุขกันทุกคนนะครับ.

ก่อนจบฝากมิวสิควีดีโอ"ไปทะเลกันดีกว่า" เมื่อ 30 ปีก่อนของคุณปานศักดิ์มาให้ฟังกันครับ




No comments:

Post a Comment

อ่านเรื่องราวต่างๆ แล้วอยากจะแบ่งปัน อยากถามต่อเชิญได้เลยครับ..