Wednesday, December 28, 2022

ไฟสามกอง

 ครบหนึ่งปีพอดีที่ไม่ได้เขียนเรื่องราวอะไรลงในบล็อก อาจเป็นเพราะพื้นเพเดิมผมก็ไม่ใช่คนที่ชอบสื่อสารอะไรออกไปบ่อยๆ เวลาเผลอไปแป๊บเดียวก็ครบปีพอดี

ในทุกๆปีที่ผ่านไปก็มีเรื่องราวมากมายหลายอย่างให้รับรู้ ไม่ว่าแง่มุมไหนก็ตามเพียงขอให้เราเข้าใจ และ ทำใจยอมรับมันให้ได้ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรที่มันโหดร้ายเกินไปจากความน่าจะเป็น

ช่วงปลายปี 2565 นี้มีญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนได้เสียชีวิตกันไปหลายคนตามอายุขัย ในวูบหนึ่งของความคิดไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้คิดถึงเปลวเทียนที่ดับแสงลง และชีวิตคนเราจากถือกำเนิดจนจากลาก็จะเกี่ยวข้องกับ "ไฟสามกอง" อันเป็นที่มาของความคิดคำนึง

ไฟกองแรก น่าจะเป็นไฟที่เป็นสัญญาณของการเกิดใหม่ มันทำให้ผมนึกถึงคนในสมัยก่อนที่นิยมให้หมอตำแยช่วยดูแลในการคลอดลูก และแน่นอนว่าองค์ประกอบของการคลอดก็จะต้องมีการต้มน้ำเพื่อทำความสะอาดเครื่องใช้ไม้สอบต่างๆ ตลอดจนเตรียมการสำหรับทารกน้อยที่จะถือกำเนิดขึ้นมาใหม่

ไฟกองที่สอง คิดไปแล้วอาจจะไม่เป็นเพียงไฟแค่กองเดียว เพราะกองที่สองนี้จะลุกโชนหล่อเลี้ยงชีวิตของเราจากเล็กจนเติบใหญ่ ผ่านวัยผ่านวันทั้งทุกข์ สุข รุ่งโรจน์โชติช่วงหรืออับเฉาห่อเหี่ยว และไม่ว่าไฟกองนี้จะคุโชนหรือโรยแรงอย่างไรไฟกองนี้ก็เป็นไฟที่หล่อเลี้ยงชีวิตของเราไปจนสู่ปลายทางที่มีความสั้นยาวที่แตกต่างกันออกไป

ส่วนไฟกองที่สามนั้น คือไฟที่จะนำเราสู่ภพภูมิใหม่ ใช่ครับ มันคือกองไฟที่ใช้ฌาปนกิจรูปสังขารของเรายามที่จากโลกนี้ไป ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่ด้วยความสุขหรือความทุกข์ สุดท้ายแล้วสิ่งต่างๆทั้งมวลของเราก็จะสลายหายไปกับไฟกองที่สามนี้เอง

สำหรับชีวิตคนเราเมื่อดำเนินชีวิตไปด้วยไฟกองที่สองนั้น คนที่จะมีความสุขได้ก็น่าจะเป็นคนที่มีธรรมะอยู่ในตัวตน เป็นธรรมะที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาใดๆนั่นเอง

ก่อนที่จะถึงปีใหม่ 2566 นี้มีบทกลอนเล็กๆ ที่อยากฝากถึงเพื่อนร่วมโลกทั้งหลายที่เป็นเพื่อนกันอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการลองอ่านและคิดตาม

สวัสดีปีใหม่ 2566 ขอให้ทุกคนสุขภาพดี มีความสุขกันทุกคนครับ.


"โลกเรานี้หมุนไปไม่สิ้นสุด

จะยื้อยุดหยุดเวลาหาได้ไม่

สรรพสิ่งวนเวียนผันเปลี่ยนไป

เก่าสู่ใหม่ไม่ยืนยงคงนิรันดร์


ชีวิตเราที่ดำรงและคงอยู่

บ้างตื่นรู้บ้างคิดลบสลบไสล

มีรวยล้นบ้างยากจนข้นแค้นใจ

ทุกผู้คนล้วนมีไว้ไฟสามกอง


กองที่หนึ่งยามกำเนิดเกิดชีวิต

กองสองพิศเลี้ยงดูตนจนเติบใหญ่

กองสามขอนสุมฟอนเนื้อเมื่อจากไป

สามกองไฟในชีวิตจงคิดดู


ก่อนวันหนึ่งจะมาถึงซึ่งการจาก 

เราควรฝากความดีไว้ให้คงอยู่ 

แบ่งน้ำมิตร มอบน้ำใจ ได้ชื่นชู 

ให้คนอยู่ ได้มีสุข คลายทุกข์ตรม."


สัก มะเฟือง รำพันใกล้วันปีใหม่ 

28 ธันวาคม 2565 


และดีเจจำเป็น เลยขอถือโอกาสฝากเพลงที่มีความหมายไว้ฟังสักเพลงครับ


















Friday, December 31, 2021

สี่คำนั้น - 4

 

สวัสดีปีใหม่ 2565 ครับทุกคน ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีของประเทศชาติบ้านเมือง และ ของพวกเราทุกคน เรื่องที่เคยร้าย เคยแย่ ขอให้ผ่านไปกับปีเก่าทั้งหมดนะครับ

สำหรับวันนี้จะมาพูดถึงคำสุดท้ายที่เรากล่าวได้ยากเย็นที่สุดคำหนึ่งในบรรดา "สี่คำนั้น"

ยาก...เพราะเราไม่อยากจะเอ่ยมันออกมา แม้รู้ว่าต้องมีวันที่ได้ใช้คำนี้

ยาก...เพราะมันเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันหดหู่ เศร้าสร้อย อาลัยอาวรณ์

คงพอเดากันได้นะครับว่าคำนี้คืออะไร ?

ใช่แล้วครับ คำที่เราไม่อยากเอ่ย หรือ เอ่ยได้ยากเย็นที่สุดคำหนึ่งก็คือคำนี้เอง...

"ลาก่อน"

คำพูดสั้นๆ ที่มีความหมายของการพลัดพรากและจากลา ไม่ว่าการลานั้นจะเป็นการจากลาเพียงชั่วคราว หรือ จากลาชั่วนิรันดร์

นี่ล้วนแล้วแต่สร้างความสะเทือนใจให้กับคนกล่าวคำนี้ไม่น้อย

คำว่า "ลาที" แม้ถึงพรุ่งนี้อาจพบกันใหม่ แต่คำ "ลาก่อน" เหมือนจรจากไกล ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้พบกัน....

สำหรับเราทุกคน ไม่ว่าจะ "ลาที" หรือ "ลาก่อน" เราต้องได้มีโอกาสใช้คำนี้กันทั้งนั้น หวังเพียงหลังจากที่ได้กล่าวคำนี้แล้ว เราจะสามารถจดจำความงดงามของมิตรภาพและสายสัมพันธ์ในส่วนลึกของเราไว้ได้ชั่วกาลนาน

อายุคนเราอาจจะสั้น แต่ขอความฝันนั้นจงยืนยาว

คือโอกาสนี้ส่งความรักแด่ มิตรภาพ ความหวัง และ ความฝันของเราทุกคน

สวัสดีปีใหม่ 2565 ปีเสือตุ้ยนุ้ยครับ.








สี่คำนั้น - 3

 

มาถึงคำพูดที่มีความหมายและยากจะกล่าวในชีวิตคนเราคำที่สามกันครับ

เช่นเดียวกับสองคำแรก คำนี้เป็นคำที่เราคุ้นเคยและใช้กันอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน หากแต่เมื่อถึงเวลาที่สมควรกล่าวอย่างที่สุดแต่กลับมิสามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้ซะอย่างนั้น

คำแรกคือ "ไม่"

คำที่สองคือ "รัก"

ส่วนคำที่สามคือคำนี้...

"ขอโทษ"

ฟังดูแล้วมันไม่ได้ยากเย็นเลยใช่ไหม ? ผมเชื่อว่าเราทุกคนได้ใช้คำพูดนี้เป็นประจำ อย่างน้อยก็เป็นคำที่เราเอ่ยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เชื่อไหมครับว่าเวลาที่สมควรจะต้องพูดอย่างยิ่งคำนี้กลับกล่าวออกมาได้อย่างยากเย็นนัก

คำ "ขอโทษ" นี้ เราใช้ตั้งแต่เรื่องที่เล็กน้อยที่สุดอย่างเช่น ทำน้ำหก, เดินชนกับคนแปลกหน้า, มาสายผิดเวลานัด หรือ แม้แต่เรื่องราวที่สาหัสสากรรจ์ที่สุด เช่น การเผลอเรอขับรถชนคนตายเราก็ใช้คำนี้เช่นเดียวกัน

คำนี้น่าจะเป็นคำๆเดียวที่เราไม่สามารถเพิ่มเติมระดับของความรู้สึกเข้าไปได้

คงไม่มีใครใช้คำพูดว่า "ขอโทษมาก" หรือ "ขอโทษอย่างที่สุด" กันนะครับหรืออาจจะมีก็ได้แต่อย่างน้อยผมก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน

จะผิดพลาดไม่ว่าเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก เราก็ใช้แต่คำ "ขอโทษ" นี้มาแสดงความรู้สึก แต่จะเอ่ยอย่างจริงใจหรือไม่นั้นก็คงต้องดูท่าทางประกอบในระหว่างเอ่ยคำนี้เข้าไปด้วย

บ้างก็พูดออกไปส่งๆ พอเป็นพิธี และบ้างก็มีท่าทีสำนึกเสียใจให้เห็นอย่างเด่นชัด

ในเมื่อเป็นคำพูดที่ใช้กันอยู่แทบจะในชีวิตประจำวันแล้ว ทำไมผมถึงบอกว่ามันเป็นหนึ่งในคำที่เอ่ยออกมายากที่สุดนะเหรอ ?

เพราะคำๆนี้มักจะถูกความรู้สึกอื่นๆ บดบังหรือกดทับจนทำให้เราไม่สามารถเอ่ยมันออกมาได้ในสถานะการณ์อันควร และสิ่งที่บดบังไม่ให้คนเราได้กล่าวคำนี้ออกมาได้ง่ายๆ ก็คือ ตำแหน่ง, ฐานันดรศักดิ์, อาวุโส, ความหยิ่งทะนงตน, การถือศักดิ์ศรีของตนเอง หรือจะเรียกรวมๆ ว่าอีโก้ของเราก็ว่าได้

ผมเห็นมิตรภาพของเพื่อนฝูงที่รักกันมานับสิบปีต้องขาดจากกันเพียงแค่คำพูดจากอารมณ์ไม่กี่ประโยค, พ่อแม่พี่น้องญาติผู้ใหญ่มึนตึงใส่กัน ตัดขาดกันเพียงเพราะขาดความเข้าใจระหว่างกันและไม่มีใครยอมเป็นฝ่ายที่ลดราวาศอกก่อน หรือแม้แต่คู่ค้าที่เคยทำธุรกิจร่วมกันมาด้วยดีแต่ความสัมพันธ์กลับต้องพังทลายสิ้นสุดลงจากเหตุผิดพลาดแต่เพียงเล็กน้อย ฯลฯ

เชื่อไหมครับว่าเรื่องราวข้อขัดแย้งต่างๆ เหล่านี้จะลดความโกรธเคืองและไม่เข้าใจกันได้ด้วยแค่เพียงกล่าวคำขอโทษแค่นั้น

แค่เพียงเอ่ยคำขอโทษอย่างจริงใจ ไม่ถืออาวุโส หรือ ลำดับฐานะยศศักดิ์จะเป็นทางออกในเบื้องต้นได้อย่างดีที่สุด

น่าเสียดายเมื่อถึงเวลาจริงๆ กับไม่มีฝ่ายไหนเลยที่จะยอมอ่อนข้อให้กันก่อน ต่างฝ่ายต่างก็อยากจะให้คู่กรณีเป็นผู้ยอมรับความผิดแล้วพูดออกมาก่อนทั้งนั้น เพราะต่างคนต่างก็คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก

เรื่องแบบนี้เกี่ยงกันไป เถียงกันไปก็ไม่มีอะไรที่ดีขึ้นมาหรอกครับ...จริงไหม ?

ปัญหาเรื่องนี้ที่จริงก็แก้ไขไม่ยากเลย เช่น สมมติว่าเราขุ่นเคืองใจกับเพื่อนฝูง หรือเมื่อมีข้อขัดแย้งกับใครสักคน แทนที่เราจะรอให้คู่กรณีเป็นฝ่านพูดออกมาก่อน เรากลับชิงเอ่ยก่อนจะดีกว่าไหมครับ ?

สำหรับผมแล้วมีแต่คนที่ใจกว้างกว่า เอื้ออารีกว่าและเห็นความสำคัญของมิตรภาพมากกว่าเท่านั้นที่จะยินยอมเอ่ยคำนี้ออกมาก่อนโดยไม่เกี่ยงงอน

แค่คำ "ขอโทษ" เพียงคำเดียวเท่านั้นเราจะได้เห็นถึงอานุภาพของมันในการลดทอนข้อขัดแย้งได้เป็นอย่างดีทีเดียว และเวลาที่เอ่ยคำนี้ออกมานั้นอย่าลืมพูดออกมาให้ชัดเจน ใช้ท่าทีที่อ่อนโยนสำนึกผิดพร้อมกับสบตาคู่กรณีไปด้วย จะช่วยให้คลี่คลายปัญหาที่มีได้อย่างง่ายดายเกินคาด

ผมเลยอยากเชิญชวนให้พวกเราลองปรับทัศนคติและวิธีคิด หันมาใส่ใจกับความกล้าที่จะเป็นคนเริ่มเอ่ยคำนี้ก่อน ไม่ว่ากับเพื่อน ญาติพี่น้อง คู่ค้า หรือ แม้แต่คนที่มีอาวุโสน้อยกว่า ตัดอีโก้ตัวเองออกไป และไม่ต้องสนใจว่าใครจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด

แล้วคุณจะพบว่าการพูดคำนี้มันไม่ได้ยากเลย แถมมีแต่เรื่องที่น่ายินดีตามมาด้วยซ้ำ

ไม่ต้องเชื่อผม แค่ลองทำแล้วรอดูผลลัพธ์ของมันเท่านั้น

สำหรับวันนี้ขอลาทีปี 2564 ปีที่แสนยุ่งยากและลำบากสำหรับเราหลายๆ คน

พรุ่งนี้พบกันใหม่ในวันแรกของปี 2565 กับคำที่เอ่ยได้ยากเย็นคำสุดท้ายของ "สี่คำนั้น" ครับ. 







Thursday, December 30, 2021

สี่คำนั้น - 2

 

มาถึงคำพูดประโยคที่สองที่สามารถกำหนดโชคชะตาของคนเราได้

ในยามเป็นเด็กน้อยเยาว์วัยนั้นเราอาจจะสามารถกล่าวคำนี้ได้แบบไม่เคอะเขิน แต่เราจะใช้มันน้อยลงเมื่อเติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในบางครั้งอาจต้องใช้การใคร่ครวญอย่างมากเพราะไม่รู้ว่าเมื่อกล่าวคำนี้ออกไปแล้ว จะออกหัวหรือก้อย กินแห้วหรือสมหวัง

หรือแม้แต่การเปลี่ยนสถานะจาก เพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือคนใกล้ชิดกลายเป็นคนแปลกหน้าไปเสียก็เป็นได้

พูดได้ว่าเป็นหนึ่งในคำที่เปลี่ยนโชคชะตาของคนเราได้เลยทีเดียว ใช่แล้วครับ คำพูดสั้นๆ ที่ว่านี้คือคำ...

"รัก"

คำนี้ที่จริงแล้วมีความสวยงามเป็นอย่างยิ่ง มีความหมายอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะกล่าวกับใครควรเป็นแต่เรื่องดีงาม

เพียงแต่....หากคำนี้ใช้กล่าวผิดที่ ผิดเวลา ผิดคน ไม่เพียงแต่จะสร้างความประดักประเดิดอับอายเท่านั้น หากแต่ยังสามารถกลืนกินมิตรภาพและอนาคตที่วาดฝันไปสิ้น 

และมีบ้างที่ไม่สูญหายเพียงแค่มิตรภาพ ในความผิดหวังบางครั้งยังได้กลืนกินชีวิตเยาว์วัยไปด้วย ! 

"รัก" นี้เป็นคำที่มีอานุภาพใหญ่หลวงนัก ไม่ว่า "ผมรักคุณ" "ฉันรักเธอ" "พ่อ (แม่) รักลูกนะ" "ลูกรักพ่อ (แม่) นะครับ/คะ". หรือแม้แต่ "กูรักมึงเพื่อน" ล้วนแล้วแต่เป็นคำที่ผู้ฟังมักจะเกิดความอิ่มเอิบใจทุกครั้งเมื่อบอกไป

คำนี้เป็นอีกหนึ่งคำที่เราเอ่ยปากกันออกมาได้ยากเย็นยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อเวลาที่เรามีความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ซึ่งชาวเอเชียส่วนมากจะมีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน ยิ่งโดยเฉพาะคนไทยเราที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มชนชาติที่ขี้อาย สงบเสงี่ยม การแสดงความรู้สึกแบบตรงไปตรงมานี้แทบจะไม่คุ้นเคยกันทีเดียว

คำว่า "รัก" นั้นที่จริงแล้วกล่าวไม่ยาก เราสามารถพูดได้ออกมาวันละเป็นร้อยๆ ครั้ง หากแต่กล่าวง่ายไปมันก็จะเป็นคำเลื่อนลอยที่หาสาระแก่นสารไม่ได้

แต่คำ "รัก" ที่กล่าวอย่างหนักแน่นจริงจังนั้นมักจะเป็นคำที่ยากจะเปล่งเสียงออกมา หากแต่เมื่อได้กล่าวออกมาแล้วก็จะเกิดความอบอุ่นหัวใจกับผู้รับฟัง

น่าเสียดายมีไม่น้อยที่พูดออกมาในวันที่ทุกอย่างมันสายเกินไป...

ย้อนกลับมาที่ประสบการณ์ตรงในวัยหนุ่มสาวที่โลกรอบตัวเป็นสีชมพู เวลาที่เรามีความรักและเกิดความพึงใจในเพศตรงข้าม ปฏิกิริยาของเรามักจะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าการให้ความใส่ใจกับตัวเอง, ความกระชุ่มกระชวยกระตือรือล้นที่มากขึ้น แม้แต่ "ออร่า" ของความรักที่ฉาบจับทั้งใบหน้าและเนื้อตัวของเรา

ถามว่าแล้วรู้ได้ยังไง ? ก็ลองดูใบหน้าที่มีเลือดฝาด ดวงตาหยีเล็กลง พร้อมฉ่ำประกายเยิ้ม และท่าทางที่ครุ่นคำนึงอยู่ตลอดเวลานั่นไง ไม่ว่าหญิงหรือชายก็มักจะมาในฟอร์มนี้เหมือนกันหมด...555

ในช่วงเวลาของรุ่นผม แม้ว่าเราจะผ่านการแสดงความสนใจต่อกันจนรับรู้ได้ถึงความพึงใจที่ดูเหมือนจะต้องตรงกันแล้วก็ตาม แต่ยังกลับเป็นเรื่องยากของหลายคนที่จะกล้าเอ่ยความในใจกันออกมาตรงๆ ได้แต่ถือว่ารับรู้ความรู้สึกกันได้ในทีจากการแสดงออกและความห่วงหาต่อกัน

วันๆ ได้แต่ชะม้อยชะม้ายส่งสายตาให้กันแล้วก็เก็บเอาไปเพ้อฝันด้วยความคะนึงหา

ซึ่งในความเป็นจริงเราก็อาจแค่คิดเข้าข้างตัวเองเท่านั้นเอง...ว่าไหม ?

ผมจำได้ว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข แต่ก็เจือไว้ด้วยความอึดอัด ปรารถนา และ กังวล ยิ่งถ้าชายหนุ่ม/หญิงสาวที่หมายปองเป็นคนที่ฮอตและมีเพศตรงข้ามให้ความสนใจอย่างมาก

ใจนึงก็อยากเอ่ยออกไปชัด ๆ อีกใจนึงก็ห้ามไว้ด้วยความหวาดหวั่น....เกรงว่าคำตอบที่ได้จะไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการ

เรื่องฮาๆ มันก็มักจะเกิดในจังหวะนี้เอง ที่อยู่ๆ สาวเจ้าก็เปลี่ยนไป

จากวันวานที่ส่งเสียงคุยกันเจื้อยแจ้ว หยอกล้ออ้ออิงต่อกัน กลายเป็นมึนตึงไว้ตัว ไม่พูดไม่จาด้วยขึ้นมาเฉย ๆ ชนิดกินพาราทั้งแผงก็ยังเดาไม่ออกว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ?

มีเยอะที่จบความสัมพันธ์ฉันท์หนุ่ม-สาวกันแบบดื้อๆ เหมือนดูหนังกลางแปลงที่ฟิล์มขาดกลางเรื่องแล้วก็ปิดวิกทันที เหลือทิ้งไว้แต่ความคาใจ

ผมเคยเจอ - คุณก็เคยเจอแบบนี้...ใช่ไหม ?

นี่ไม่เพียงแต่ชีวิตจริง แม้แต่ในหนังหรือละครก็มีบทที่สะท้อนเรื่องราวทำนองนี้จากทั่วโลกเช่นกัน

นางเอกรอพระเอกบอกรัก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ยอมเอ่ยออกมา รอนานจนทนไม่ไว้ก็จากไปกับรักใหม่

ส่วนพระเอกก็ฟูมฟายที่สูญเสียคนรัก ถึงกับหันไปหาเหล้าดื่มจนเมามาย สะบั้นรักตั้งหน้าตั้งตาฝึกแต่วิทยายุทธ์ บ้างก็กลายเป็นชายไร้รัก หรือ หมกมุ่นกับการทำธุรกิจไปนั่น

แท้จริงรากเหง้าของปัญหาและความพลัดพรากก็คือการที่ไม่ยอมเอ่ยปากแสดงความรู้สึกออกมา ไม่ยอมให้ความชัดเจน ได้แต่คิดว่าคนที่รักจะรับรู้ได้ด้วยตัวเอง

พ้นไปจากความรักของหนุ่ม-สาว ยังมีความรักของคนในครอบครัวที่ขาดการหล่อเลี้ยงเช่นเดียวกัน

ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทหลายๆ ครั้งโดยเฉพาะเรื่องครอบครัว จะมีเรื่องราวความขัดแย้งเกิดขึ้นมาเสมอ ๆ 

พ่อ แม่ ฟ้องเรียกมรดกคืนจากลูก, พี่น้องมีปัญหาระหว่างกันจากสาเหตุพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน ฯลฯ

ร้อยละเกือบร้อยหลังจากที่สืบสาวเรื่องราวต้นตอของปัญหา จะเกิดจากการขาดการแสดงความรักความห่วงใยต่อกันทั้งนั้น

พ่อ-แม่คิดว่าลูกไม่รัก ทอดทิ้งบุพการีดูแลแต่ครอบครัวตัวเอง

พี่น้องทะเลาะตั้งแง่ใส่กันเพราะคิดว่าพ่อแม่ลำเอียงให้ความรักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากกว่าตัว

นี่ล้วนแต่เป็นปรากฏการณ์แห่งคำ "รัก" ที่เราละเลยทั้งนั้น

กับคำที่มีความหมายและอานุภาพที่ยิ่งใหญ่นี้ ผมอยากจะเชิญชวนให้ทุกคนได้กล่าว ได้บอกรักและ เปิดเผยความรู้สึกต่อกัน

ต้นไม้ต้องการปุ๋ยฉันท์ใด หัวใจของคนเราก็ต้องการความรักมาหล่อเลี้ยงฉันท์นั้น

อย่าบอก "รัก" กันในวันที่สายเกินไปเลย ถ้าคุณไม่พูดในวันนี้ เมื่อถึงวันนั้นคุณจะนึกเสียใจไปก็ไม่ทันแล้ว

ผมจะบอกรักให้ดูเป็นตัวอย่างก็ได้

"ผมรักคนที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ทุกคนครับ"....



ท้ายสุด...ฝากเพลง 4 letter word ไว้ฟังกัน สี่พยัญชนะนั้นคืออะไรคงตอบกันได้นะครับ.