👀👂👃👄ถ้าจะมีคำถามว่าสภาพธรรมชาติที่มีแต่สสารล้วนๆ หรือมีแต่จิตวิญญาณล้วนๆ มีอยู่หรือไม่ ?
การอธิบายธรรมชาติ ถือได้ว่าเป็นงานเป็นการที่สำคัญของมนุษย์ ที่ควรกระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เนื่องจากว่าฐานะและตำแหน่งของมนุษย์เปรียบเทียบกับทุกฐานะและตำแหน่งในจักรวาลแล้ว อยู่ในระดับที่มีสติปัญญาสามารถเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้ ไม่เป็นคนหลงงมงาย ใช้ความเชื่ออยู่เหนือเหตุผล รู้จักเปิดใจรับฟังสิ่งใหม่ๆ ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ของตัวเอง มากกว่าความเชื่อที่นับถือตามๆกันมา สิ่งใหม่ๆที่เปิดใจรับฟัง อาจเป็นความจริงอยู่เหนือความเชื่อที่มีอยู่ก่อนก็ได้ หากไม่เปิดใจรับฟังอาจเสียโอกาส ซึ่งควรจะได้จากความเป็นมนุษย์ของตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย อย่าคิดว่าชีวิตหลังความตายซึ่งคาดว่าจะได้จากความเชื่ออย่างปักใจ ในนามศาสนาที่ตัวเองเข้าใจว่าสูงส่งและเลิศเลอ จะถูกต้องสมบูรณ์และเป็นจริงตามนั้น ยังมีความไร้แก่นสารอยู่ในศาสนาที่ตัวเองเชื่อ ศาสนาที่ดีและมากไปด้วยแก่นสาร จะทำหน้าที่อย่างเดียวกับวิทยาศาสตร์ คือการอธิบายธรรมชาติ การอธิบายเป็นสาระสำคัญของคำสอน มาจากความรู้เชิงประจักษ์และมีหลักฐาน บอกกระบวนการและปรากฏการณ์ได้ แสดงความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการกับปรากฏการณ์อย่างเป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน
อะไรของธรรมชาติจะต้องอธิบาย สำคัญที่สุดอันดับแรกทั้งศาสนาและวิทยาศาสตร์ ต้องรู้จักธรรมชาติของความจริงแท้เสียก่อน ถ้าไม่รู้จักก็ไม่อาจไปถึงเป้าหมายซึ่งเป็นที่ปรากฏของตำแหน่งความจริงสูงสุดได้ ถ้าได้บางอย่างดีก็เป็นตำแหน่งที่ต่ำกว่าความจริงสูงสุด ซึ่งห่างชั้นกับความจริงสูงสุดอยู่หลายระดับ
ดังนั้นก่อนตอบคำถามและอธิบายถึงสภาพธรรมชาติที่มีแต่สสารล้วนๆหรือมีแต่จิตวิญญาณล้วนๆมีหรือไม่ ต้องรู้จักธรรมชาติของความจริงแท้เสียก่อน เกี่ยวกับธรรมชาติของความจริงแท้ได้พูดเน้นย้ำไปหลายครั้งหลายหนแล้ว พูดอีกครั้งก็ยังเป็นผลดี ต่อหัวข้อที่ตั้งไว้
1 ชีวิตทุกชีวิต เป็นธรรมชาติของความจริงแท้อย่างหนึ่ง ความไม่เข้าใจและไม่รู้ว่าชีวิตเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทุกอย่าง ได้คำตอบแต่เป็นคำตอบที่ไม่สมบูรณ์ ไปยึดโยงกับบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งไม่เป็นธรรมชาติของความจริงแท้ คำตอบแบบนั้นมีเหมือนกับไม่มี
ชีวิตคืออะไร ?
ชีวิตประกอบด้วยอะไร ?
ชีวิตมีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร ?
ยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ ได้คำตอบที่ไม่ถูกต้อง ไม่รู้ว่าความเกิดกับความตายเป็นกระบวนการ มีความต่อเนื่องกันอย่างไร จิตวิญญาณที่อยู่ในชีวิตและให้ความมีชีวิต เป็นธรรมชาติของความจริงแท้ แต่ไม่รู้จักความจริงแท้ของจิตวิญญาณ ธรรมชาตินี้มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ไม่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด ไม่สูญ ไม่หาย ไม่มีอะไรและสิ่งใดสร้างได้ทำลายได้ ผู้สร้างที่ไม่ถูกสร้างก็คือจิตวิญญาณ อย่าเอาความไม่รู้ไปเสกสรรปั้นแต่งผู้สร้างขึ้นมา แล้วบอกว่าผู้สร้าง ได้สร้างชีวิตซึ่งมีจิตวิญญาณขึ้นมา ผู้สร้างที่ไม่ถูกสร้างก็คือจิตวิญญาณอยู่แล้ว ไม่ใช่ผู้สร้างที่เสกสรรขึ้นมา
ผู้สร้างเช่นนั้นจึงเป็นผลผลิตของอวิชชา ให้เข้าใจจิตวิญญาณเหมือนอย่างที่เข้าใจผู้สร้าง เอาจิตวิญญาณแทนที่ผู้สร้างเข้าแทนที่เดี๋ยวนี้ได้เลย ความสมบูรณ์ในตัวเองซึ่งไม่ต้องมีอะไรและสิ่งใดสร้าง เป็นอยู่แล้วตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ไม่มีจุดเริ่มต้นในกาลเวลา จึงพอกันทีกับความโง่เขลาซึ่งไม่เข้าใจตัวเองและเป็นอวิชชาล้วนๆ ถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่ต่อไป รอจนกว่าจะเข้าใจว่าจิตวิญญาณคือผู้สร้าง สร้างให้มีเราและเป็นเราอยู่อยู่ในดาวเคราะห์หินดวงนี้ในวันนี้ มีความเป็นมาเป็นไปซึ่งอธิบายได้เหมือนทุกชีวิต ความเหมือนและไม่เหมือน เกี่ยวกับรูปร่างและขนาด และอีกหลายสิ่งหลายอย่าง รวมถึงจำนวนที่เป็นอนันต์ในแต่ละแห่งแต่ละที่ ไม่ได้มีแต่เรา มีประวัติความเป็นมาอยู่ในกฎเกณฑ์ซึ่งอธิบายได้ ไม่ใช่อธิบายไม่ได้
2 สสาร พื้นฐานที่แท้จริงของธรรมชาตินี้มีพฤติกรรมคล้ายจิตวิญญาณ แต่ไม่ใช่จิตวิญญาณ สสารกับชีวิตหรือสสารกับจิตวิญญาณ ต่างเป็นความจริงแท้เหมือนกัน มีพฤติกรรมคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน ธรรมชาติทั้งสองพัวพันกัน จึงสร้างกระบวนการและปรากฏการณ์ขึ้นมาด้วยกัน ก่อเกิดกายและโลกด้วยปริมาณที่คงที่ ปริมาณนี้และปรากฏการณ์ทุกอย่าง เป็นของจักรวาลและเกิดขึ้นในจักรวาล ความพัวพันได้สร้างรูปแบบชีวิตให้มีความหลากหลายทางชีวภาพ นำไปสู่ความมีระดับชั้นของโลกหรือวัตถุอวกาศแบบต่างๆ ซึ่งเกิดจากสสาร
เพราะเหตุนี้เองโลกและชีวิตจึงเป็นสาระสำคัญของจักรวาล เกิดความหลากหลายมากมาย ทั้งหมดนั้นล้วนแต่มาจากสสารเป็นองค์ประกอบ สสารจึงเป็นความจริง สร้างทุกสรรพสิ่งให้มีกายภาพ ไม่สูญ ไม่หาย เปลี่ยนกลับไปกลับมา ระหว่างสสารกับพลังงาน มีอยู่หลายสถานะ มีทั้งเห็นได้ เห็นไม่ได้ สัมผัสได้และไม่ได้ หยาบ ปานกลางและประณีตสุดๆเป็นไปได้ทั้งสิ้น จิตวิญญาณพัวพันกับสสาร สร้างกระบวนการและปรากฏการณ์ทุกอย่างในจักรวาล
ใครไม่เข้าใจความจริงนี้ เท่ากับไม่รู้จักความจริงแท้ของธรรมชาติตามความเป็นจริง อยู่กับความไร้แก่นสาร ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้สร้างอยู่ต่อไป
3 อวกาศ หรือ Space ธรรมชาติของความว่างเปล่าปรากฏอย่างไม่ว่างเปล่า เพราะมีธรรมชาติของสสาร หรือจิตวิญญาณ ทั้งที่พัวพันและไม่พัวพันกัน แสดงกระบวนการหรือปรากฏการณ์อยู่ภายใน อวกาศทำหน้าที่ให้พื้นที่หรือตำแหน่งแก่ธรรมชาติทั้งสอง ความว่างเปล่าจึงไม่ว่างเปล่า..
อวกาศมีความมืดเป็นคุณลักษณะประจำตัว มืดและสว่าง ขนาดและรูปทรง เวลา สีสัน การเคลื่อนที่ เกิดขึ้นได้เพราะมีอวกาศให้ตำแหน่งหรือพื้นที่ ธรรมชาตินี้ไม่มีขอบเขต ความไม่มีขอบเขตเป็นความจริงแท้อย่างหนึ่ง ซึ่งไม่มีอะไรสร้างได้ อยู่เหนือการสร้างที่มาจากความเข้าใจผิดๆ ซึ่งมีรากฐานมาจากอวิชชา ความว่างเปล่าของอวกาศมีความหมายอย่างมาก ลึกซึ้งเกินความเข้าใจอย่างผิวเผินจะหยั่งถึงได้
เมื่อรู้จักธรรมชาติของความจริงแท้แล้ว ธรรมชาติของความจริงแท้ทั้งสามเป็นผู้แสดงปรากฏการณ์นี้
ปรากฏการณ์ที่ 1 เกิดขึ้นในจักรวาล จักรวาลมีขอบเขต มีกายภาพ มีโครงสร้าง มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็น เป็นกระบวนการและปรากฏการณ์อยู่ในตัว แยกไม่ออกระหว่างความเป็นเหตุเป็นผล เหตุนำไปสู่ผลและผลนำไปสู่เหตุ เป็นวัฏจักรเวียนวน สร้างกระแส การไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด
สรุปปรากฏการณ์ในจักรวาลเกิดจาก
1.1 จิตวิญญาณพัวพันกับสสาร คือชีวิตทุกชีวิต อยู่ในตำแหน่งต่างๆในจักรวาล แต่ละแห่งแต่ละที่มีจำนวนเป็นอนันต์ เล็กที่สุดมองเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่า ไปจนถึงใหญ่ที่สุด เท่ากับวัตถุอวกาศที่ใหญ่ที่สุดในจักรวาลก็เกิดขึ้นได้ ทั้งหมดทั้งสิ้นรวมอยู่ใน 4 กำเนิด สร้างรูปแบบชีวิตให้มีความหลากหลายทางชีวภาพ ได้แก่
1.1.1 ปฏิสนธิในไข่และกำเนิดจากไข่
1.1.2 ปฏิสนธิในครรภ์และเกิดจากครรภ์
1.1.3 ปฏิสนธิในเซลล์ต้นกำเนิดและแบ่งตัวจากเซลล์ต้นกำเนิดนั้น
1.1.4 ปฏิสนธิโดยการผุดเกิด ใช้ปฏิกิริยาความพัวพันระหว่างสสารกับจิตวิญญาณในตำแหน่งที่เกิด เหนี่ยวนำสสารทุกสถานะ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสถานะก๊าซหรือพลาสมาเท่าที่มีอยู่ในตำแหน่งนั้น ก่อเกิดกายสำเร็จได้อย่างฉับพลันทันใด รวดเร็วยิ่งกว่าอะไร
รูปแบบชีวิตแบบนี้ไม่เป็นที่เข้าใจของคนส่วนใหญ่ และมีมากที่สุดในจักรวาลอีกด้วย
จิตวิญญาณซึ่งพัวพันกับสสาร ให้ความมีชีวิตได้หลายรูปแบบและมีระดับชั้น ทุกชีวิตเท่าเทียมและเสมอภาคในความเป็นสัตว์เหมือนกัน ความพัวพันแสดงความไม่บริสุทธิ์ของจิตวิญญาณ จนกว่าจะเข้าใจ และเห็นความพัวพัน ซึ่งแต่ละรูปแบบชีวิตมีสติปัญญาหรือการสำนึกรู้ไม่เท่ากัน ความเป็นมนุษย์เป็นรูปแบบหนึ่งของชีวิต มีสติปัญญาและการสำนึกรู้ อยู่ในระดับที่สามารถทำความเข้าใจ เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ความเป็นไปทั้งหลายเหล่านี้ได้ ยังมีอีกหลายรูปแบบชีวิตซึ่งไม่เหมือนมนุษย์ อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำบ้าง บางจำพวกอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่ามนุษย์ ทั้งหมดนี้ก็ต้องทำความเข้าใจ เพราะอยู่ในกฎเกณฑ์เดียวกันกับมนุษย์ เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ธรรมชาติ
มนุษย์เองมิใช่ว่าจะทำความเข้าใจได้ทุกคน ความแตกต่างทางศาสนามีพื้นฐานมาจากความรู้และความเข้าใจธรรมชาติ
1.2 สสาร พฤติกรรมของสสาร เป็นพฤติกรรมที่พัวพันกับจิตวิญญาณ ไม่มีสสารที่เป็นอิสระและไม่ข้องเกี่ยวกับชีวิตที่มีจิตวิญญาณ
สสารเท่าที่มีอยู่ในจักรวาล หรือปริมาณคงที่ทั้งหมดจากทุกสถานะ พูดได้เลยว่าเคยเป็นส่วนประกอบของร่างกายของทุกชีวิตมาแล้ว ไม่มีสสารแม้แต่อนุภาคเดียวไม่เคยเป็นส่วนประกอบ ในร่างกายของแต่ละชีวิต การเป็นส่วนประกอบเกิดจากความพัวพันระหว่างสสารกับจิตวิญญาณ แสดงให้เห็นความจริงแท้ของธรรมชาติทั้งสอง มีประวัติความเป็นมายาวนานไม่มีที่สิ้นสุดและไม่มีจุดเริ่มต้น เป็นความจริง
ใครไม่เห็นความจริงนี้ จะอยู่ในอวิชชาของความไม่รู้อยู่ต่อไป ผู้สร้างจะถูกสร้างขึ้นมาแทนความจริงนี้
1.3 อวกาศ ซึ่งไม่มีขอบเขตถูกแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่ คือพื้นที่ในขอบเขตจักรวาล สสารสร้างขอบเขตและความมีกายภาพขึ้นมา จักรวาลมีโครงสร้างเป็นชั้นๆ อยู่ในพื้นที่ของอวกาศที่มีขอบเขต เกิดจักรวาลมีขั้วเหนือกับขั้วใต้และระหว่างกลาง มี 34 ระดับชั้น ความความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นปรากฏการณ์อยู่ในเวลานี้ ขณะนี้ มีต่ำสุดไปจนถึงสูงสุด แสดงระดับชั้นของความพัวพันของแต่ละตำแหน่ง แสดงโลกและชีวิตมีความดี ความงาม ความสุขแตกต่างกันอย่างมีระดับชั้น เป็นชั้นของสสารและชั้นของชีวิตอยู่ด้วยกัน
โลกและชีวิตจึงเป็นผลผลิตจากความพัวพัน หรือปรากฏการณ์ต่างๆในจักรวาลนั่นเอง
จักรวาลมีธรรมชาติทั้ง 3 เป็นองค์ประกอบ สสารแสดงบทบาทโดดเด่นสร้างความมีกายภาพให้แก่จิตวิญญาณซึ่งไม่มีกายภาพ สร้างรูปธรรมให้แก่นามธรรม ปรากฏการณ์ในจักรวาลเห็นได้อย่างชัดเจนว่า จิตวิญญาณถูกสสารกำหนด สสารมีอิทธิพลเหนือจิตวิญญาณ จิตวิญญาณตกเป็นทาสของสสาร ไม่อิสระ ไม่เสรี ต้องเกิดแก่เจ็บตาย มีอายุขัย ได้กายใหม่ ทิ้งกายเก่าอยู่เรื่อยๆ เป็นผู้สร้างเวลาและถูกเวลากลืนกิน ไม่จบไม่สิ้น ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว ยังลุ่มหลงอยู่ต่อไป ยึดมั่นถือมั่นอยู่กับกาย อยู่ความเป็นตัวตนของตน ผ่านมาแล้วนับไม่ถ้วน นับไม่ได้ ก็ไม่เคยเข้าใจความเป็นไปนี้ จนถึงวันนี้ของชีวิตนี้
จักรวาลเป็นปรากฏการณ์ของสสารล้วนๆก็ว่าได้ บทสรุปนี้เป็นความจริง จิตวิญญาณซึ่งเป็นธรรมชาติของความจริงแท้ ไม่เคยได้เห็นความจริงแท้ของตัวเอง อยู่กับความพัวพันและตกเป็นทาสของสสาร ความเป็นทาสและความพัวพันสร้างกายภาพ มีกายภาพ รูปธรรมเกิดจากสสารล้วนๆ
จักรวาลเป็นปรากฏการณ์ของสสารล้วนๆ นี่คือบทสรุปซึ่งเป็นจริงที่สุด
ปรากฏการณ์ที่ 2 ปรากฏอยู่นอกจักรวาล เรียกปรากฏการณ์ที่ปรากฏอยู่นอกจักรวาลว่า สภาพธรรมชาตินอกจักรวาล เป็นปรากฏการณ์ของ
2.1 จิตวิญญาณบริสุทธิ์สะอาด หลุดพ้นจากความพัวพันหรือข้องเกี่ยวกับสสารได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว หลังจากทอดทิ้งกายสุดท้าย ชีวิตหลังความตายไม่มีปฏิสนธิอีกต่อไป การไปเกิดในกำเนิดต่างๆจบสิ้นลง เพราะเข้าใจความพัวพัน เห็นจิตวิญญาณเป็นความจริงแท้ตามความเป็นจริง ถูกสสารลวงหลอกให้ยึดมั่นถือมั่น เห็นปฏิกิริยาความพัวพันอย่างชัดเจน เบื่อหน่ายคลายความกำหนัดได้ ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นได้ จิตวิญญาณจึงมีโอกาสได้แสดงความจริงแท้ออกมา เบิกบานและอิสระ สะอาด สงบ อยู่ในเรือนร่างที่มีขนาด ให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของกาย เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง จากความไม่รู้เป็นความรู้ จากอวิชชาเป็นวิชชา จากที่เคยมืดไปสู่ความสว่างไสว จะเคลื่อนที่ไปสู่การหยุดนิ่ง จากการสั่นไหวไปสู่ความไม่สั่นไหว จิตวิญญาณเหนือกว่าอะไรทั้งหมด เหนือกว่าสสารทุกด้านทุกแง่มุม
หลังจากทอดทิ้งกายสุดท้ายไปปรากฏที่นอกจักรวาล หลุดพ้นจากขอบเขตของสสาร สสารยึดหน่วงไว้ไม่ได้อีกต่อไป อิสระเสรี พุ่งออกไปสู่นอกจักรวาล แสดงปรากฏการณ์อย่างสว่างไสวและสงบเย็น ขยายกว้างออกไปเท่ากับความไม่มีขอบเขตของอวกาศ อวกาศไม่มีที่สิ้นสุด ความสว่างไสวและสงบเย็นของจิตวิญญาณอยู่ในความไม่มีขอบเขตนั้นได้ อากาศไร้ขอบเขตเข้ากันได้ดีกับจิตวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ ความจริงแท้ของธรรมชาติทั้งสอง แสดงปรากฏการณ์ที่นอกจักรวาล
เรียกสภาพธรรมชาตินี้ว่า สภาพธรรมชาตินอกจักรวาลหรือพระนิพพาน
สภาพธรรมชาตินอกจักรวาลเป็นสภาพธรรมชาติที่ปราศจากสสาร ไม่มีสสารเข้ามาข้องเกี่ยว สสารแม้แต่อนุภาคเดียวหลุดออกมานอกจักรวาลไม่ได้ จิตวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรม สัมผัสไม่ได้ จับต้องไม่ได้ ใช้ความสว่างไสวและสงบเย็น ให้เห็นความมีกายภาพ แสดงความมีอยู่จริงของจิตวิญญาณ พร้อมๆกับความมีอยู่จริงของอวกาศซึ่งไร้ขอบเขต
องค์ประกอบที่ 2 ของสภาพธรรมชาตินอกจักรวาล ได้อธิบายอย่างเกลื่อนกลืนไปกับจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์สะอาดด้วยกันแล้ว สภาพธรรมชาติที่เป็นจิตวิญญาณล้วนๆหรือเป็นนามธรรมล้วนๆ เห็นได้อย่างชัดเจน ปรากฏอยู่นอกจักรวาล สภาพธรรมชาตินอกจักรวาลแสดงปรากฏการณ์ของจิตวิญญาณล้วนๆ ธรรมชาติที่ถูกเข้าใจว่าเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ ไร้รูปทรง บัดนี้ได้มาแสดงปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่เหนือปรากฏการณ์ในจักรวาลทุกด้านทุกแง่มุม ปรากฏการณ์ในจักรวาลเทียบไม่ได้ เปรียบไม่ได้ ความมีอยู่จริงของความจริงสูงสุด ปรากฏอยู่นอกจักรวาลนี่เอง อยู่เหนือความจริงทุกระดับที่ปรากฏอยู่ในจักรวาล
สภาพธรรมชาตินอกจักรวาลห่อหุ้มและล้อมรอบจักรวาลอยู่โดยรอบ ความไม่มีขอบเขตและความไม่มีที่สิ้นสุด เป็นปรากฏการณ์ของจิตวิญญาณกับอวกาศ ธรรมชาติทั้งสองได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ปรากฏการณ์นี้เป็นส่วนมากและเกือบทั้งหมดของธรรมชาติ
จักรวาลเป็นส่วนน้อยนิด ไม่ใช่ทั้งหมดของธรรมชาติ ผู้ไม่รู้เท่านั้นเข้าใจว่าจักรวาลเป็นทั้งหมดของธรรมชาติเราจึงจะนำความจริงนี้ประกาศให้ลือลั่นไปทั่วทั้งจักรวาล







No comments:
Post a Comment
อ่านเรื่องราวต่างๆ แล้วอยากจะแบ่งปัน อยากถามต่อเชิญได้เลยครับ..