Sunday, August 9, 2020

ศึกสามเส้าชิงเจ้าประมุข

ศึกสามเส้าชิงเจ้าประมุขสมาคม 

 

ในปีเจี้ยนอันศกที่ 5 แห่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ได้เกิดมหาโรคระบาดกระจายเริ่มจากเขตผิงอันไปทั่วดินแดน ผู้คนต่างเดือดร้อนเจ็บป่วยล้มตายสูญสิ้นที่อยู่อาศัย พ่อค้าวาณิชทุกกิจการค้าได้รับความเสียหาย ร้านแลกเงิน โรงเตี๊ยม รถม้า รถลาก ล้วนได้รับความยากลำบาก ในยุทธจักรเกิดความปั่นป่วนไปทั่ว.... 

ในช่วงสายของวันที่สิบเดือนราชสีห์..ท่ามกลางวสันต์โปรยปรายกลับมีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งปรากฏชาวยุทธ์มากมายมารวมตัวกันอย่างคึกคัก เนื่องด้วยทุกผู้คนล้วนแล้วแต่ได้รับเทียบเชิญให้เข้าร่วมคัดเลือกและเป็นสักขีพยานในการประลองชิงตำแหน่งเจ้าประมุขสมาคมลู่ซิง สมาคมใหญ่อันดับสามในยุทธจักรนักแรมทาง ด้วยเพราะโรงเตี๊ยมแห่งนี้อยู่ใกล้กับลานประลองนั่นเองจึงทำให้เหล่าชาวยุทธ์มาร่วมชุมนุมที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้จนคึกคักหนาแน่น 

ในบรรดาผู้คนมากมายได้ปรากฏร่างของเล่าโตว ผู้เชี่ยวชาญในการจัดลำดับยอดฝีมือที่ได้รับการเชื่อถือในยุทธภพ เล่าโตวนี้นับเป็นผู้ลึกลับฉายาเทพกุฏิเดินปะปนอยู่กับเหล่าชาวยุทธ์พร้อมยกถ้วยน้ำชาขึ้นทักทายในบางครั้ง โอ...นี่ย่อมมิใช่เรื่องธรรมดาเพราะฉายาเทพกุฏินั้นมิใช่ได้มาง่ายๆ มิทราบเพราะเหตุอันใดเล่าโตวผู้ลึกลับถึงกลับยินยอมละกุฏิและการปลีกวิเวกออกมาร่วมครึกครื้นกับเหล่าชาวยุทธ์ในครั้งนี้ ? 

ในขณะที่เล่าโตวกำลังยืนนิ่งสงบอยู่ริมหน้าต่างพร้อมทอดสายตาไปยังลานประลองที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนั้น ปรากฎเงาร่างสตรียอดฝีมือนางหนึ่งในชุดรัดกุมใช้วิชาตัวเบาทิ้งตัวลงด้านข้างพร้อมเอ่ยปากทักทาย “เล่าโตวท่านสบายดี ? มิทราบลมอะไรหอบท่านมาได้ถึงที่นี้ ?” เล่าโตวสะดุ้งเล็กน้อยหันมาแย้มยิ้มตอบพร้อมยกจอกน้ำชาขึ้นทักทาย “ข้าพเจ้ายังคงสบายดี คาดมิถึงว่าโฉมสะคราญหอมพันลี้ก็มาร่วมสนุกครึกครี้นกับเขาด้วย” ที่แท้สตรียอดฝีมือนางนี้คือโฉมสะคราญหอมพันลี้ที่เคยมีชื่อเสียงเลื่องลือเมื่อหลายปีก่อน “ข้าพเจ้าที่คาดมิถึงจริงๆ ว่าจะได้พบท่านอีกหลังจากที่เห็นท่านหันหลังให้ยุทธภพเมื่อคราก่อน” โฉมสะคราญหอมพันลี้กล่าวพร้อมปรายตาสังเกตุเล่าโตวอย่างรวดเร็ว

“ไม่ได้พบพานกันนานหลายปีท่านคงเสพสุขยิ่งกระมังดูสมบูรณ์ขึ้นมิใช่น้อยเลย...” 

“ฮาๆ สุขทุกข์ไม่อาจเลือก สุขข้าพเจ้าก็เสพ ทุกข์ข้าพเจ้าก็เสพเช่นกัน..” เล่าโตวกล่าวพร้อมจับจ้องโฉมสะคราญหอมพันลี้ และสังเกตเห็นว่าใบหน้าของนางแม้จะคงความงดงามแต่เริ่มปรากฏริ้วรอยผู้สูงอายุ ส่วนตีนผมของนางเริ่มมีสีขาวแซมขึ้นเล็กน้อย ...ที่พ่ายแพ้คือกาลเวลา วันเวลาเป็นสิ่งที่ชนะและกลืนกินผู้คนโดยแท้จริง....เล่าโตวรำพันในใจแต่ปากกลับเอื้อนเอ่ย 

“ผ่านไปนับสิบปีท่านยังคงงดงามเช่นเดิมมิเปลี่ยนแปลงเลย...” โฉมสะคราญหอมพันลี้หัวร่อคิกๆ อย่างชอบใจพลางกล่าวตำหนิเล่าโตวแก้ขวยเขิน “วาจาท่านหามีความจริงใจสักนิดไม่...” ถึงจะเป็นคำโป้ปดแต่จะมีโฉมงานที่ไหนเล่าไม่พอใจการโป้ปดเช่นนี้ ? 
“ที่ข้าพเจ้ากล่าวล้วนสัตย์จริง” เล่าโตวกล่าวตอบยิ้มๆอย่างระมัดระวัง มันรู้ดีว่าหากกล่าวผิดหูเหล่าสตรีโฉมสะคราญทุกนางเพียงนิดเดียวล้วนแล้วแต่เป็นการตอแยหาเภทภัยใส่ตัวเองอย่างโง่เขลา 
“คำชมระรื่นหู ความจริงระคายหู” ถ้อยคำนี้กลับเป็นความสัตย์จริงและมันเตือนตัวเองเสมอมา 

“เทพกุฏิเล่าโตว ที่แท้เป็นท่านนี้เอง” เหล่าชาวยุทธ์โต๊ะใกล้เคียงที่ได้ยินคำสนทนาระหว่างเล่าโตว และ โฉมสะคราญหอมพันลี้พากันลุกขึ้นทักทาย บ้างยกจอกสุรา บ้างก็ยกถ้วยน้ำชาพร้อมขยับเข้ามาร่วมกลุ่มใกล้ชิด 
“ท่านคงมาเพราะข่าวการประลองชิงตำแหน่งประมุขครั้งนี้กระมัง ?” บุรุษหน้าบากไว้เคราในกลุ่มผู้หนึ่งถามเล่าโตว เล่าโตวพยักหน้าตอบรับพร้อมกล่าว “ข่าวการประลองนี้นับว่าเร้าใจที่สุดในรอบยี่สิบปีข้าพเจ้ามิอาจไม่มาร่วมชมพร้อมกับพวกท่านได้จริงๆ” เหล่าชายฉกรรจ์ต่างพยักหน้ารับพร้อมกล่าว “การประลองครั้งนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ ข้าพเจ้าอยากรู้ผลการประลองแทบคลั่งตายแล้ว..” พูดจบพร้อมตะโกนเรียกเสี่ยวเอ้อจัดที่นั่งเพิ่มอีกสองชุด เล่าโตวกล่าวขอบคุณพร้อมเชือเชิญโฉมสะคราญหอมพันลี้นั่งลงร่วมวงสนทนา

เล่าโตวกวาดสายตามองชาวยุทธ์ชายหญิงรอบๆ ที่มาห้อมล้อมวงสนทนาพบว่าส่วนมากใส่เสื้อคลุมหรือผ้าโพกหัวที่ปรากฏชื่อจอมยุทธ์ที่ตัวเองสนับสนุนชัดเจนแต่มีอีกไม่น้อยที่ยังระมัดระวังท่าทีและไม่สังกัดฝ่ายใด 
ชายหนุ่มท่าทางเป็นบัณฑิตมากกว่านักสู้ผู้หนึ่งลุกขึ้นยืนพร้อมประสานมือ “ในฐานะที่เล่าโตวท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญการวิพากษ์วิทยายุทธ์ ผู้เยาว์ขอเรียนถามว่าการประลองครั้งนี้จอมยุทธ์ผู้ใดจะได้รับชัยชนะ ?”

แทนที่จะตอบเล่าโตวกลับกล่าวคำถามกลับ “มิทราบว่าจนถึงบัดนี้มีจอมยุทธ์กี่ท่านที่เข้าร่วมประลองศึกชิงบัลลังค์ในครั้งนี้ ?” 
“ทั้งหมดยังคงเป็นสามท่าน หนึ่งจอมยุทธ์แตงกวา สองจอมยุทธ์เอ่เอ๊ และ สามจอมยุทธ์ต้อยติ่ง...” ชายหนุ่มท่าทางบัณฑิตกล่าวตอบ เล่าโตวพยักหน้าช้าๆตอบรับพร้อมกล่าวถาม “หากไม่นับความเห็นข้าพเจ้า พวกท่านว่าจอมยุทธ์ท่านใดจะเป็นผู้กำชัยชนะ ?” 
“จอมยุทธ์ต้อยติ่ง” “จอมยุทธ์แตงกวา” “จอมยุทธ์เอ่เอ๊”..เสียงชาวยุทธ์ภพพลันดังกระหึ่มตีกันพัลวันจนเกือบจับไม่ได้ศัพท์และมีบางส่วนทุ่มเถียงกันจนคว้าคออีกฝ่ายขึ้นเขย่า 

“พวกท่านหุบปากลงเดี๋ยวนี้” เสียงตวาดเจี้อยแจ้วของโฉมสะคราญหอมพันลี้ดังห้ามการวิวาท แต่หาได้มีผู้ใดยอมรับฟังเสียงนางไม่ หลวงจีนวัดเส้าหลินที่นั่งอยู่มุมห้องผู้นึงพลันใช้วิชาราชสีห์คำรามส่งเสียงกึกก้อง ทำให้เหล่าจอมยุทธ์บางส่วนต้องยกหูขึ้นปิดแก้วหูและบางส่วนถูกคลื่นเสียงกระแทกกระเด็นตกจากชั้นสองลงไปเบื้องล่าง 
“หากพวกท่านมัวแต่ทุ่มเถียงกันแบบนี้ไยต้องถามความคิดเห็นเล่าโตวด้วย ?” หลวงจีนกล่าวหลังสิ้นเสียงราชสีห์คำรามและการทุ่มเถียงกันได้หยุดลง เล่าโตวโคจรพลังภายในเพื่อปรับลมปราณอย่างรวดเร็วรอบนึง พร้อมหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบอย่างครุ่นคิดก่อนกล่าว... 
“สหายชาวยุทธ์...แม้หลายปีนี้ข้าพเจ้าได้หันหลังให้ยุทธภพแต่กลับได้ฟังเรื่องราวมากหลายยิ่ง เรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุทธจักรยังคงล้วนกระจ่างสำหรับข้าพเจ้ามิต่างจากดูลายมือตัวเอง” เล่าโตวกล่าวเสียงดังกังวาน “กาลเวลาแม้แปรเปลี่ยน หากแต่การแปรเปลี่ยนนั้นกลับอยู่บนความไม่เปลี่ยนแปรใดๆ...” 
ชาวยุทธภพต่างมีสีหน้างุนงงกับคำตอบ ชาวยุทธ์สตรีเยาว์วัยนางนึงจึงประสานมือขึ้นพลางถามต่อ “พวกข้าพเจ้ามิเข้าใจในความหมายท่าน โปรดให้คำชี้แนะด้วย” สิ้นคำถามนางมีเสียงอื้ออึงโห่ร้องจากภายนอก....ที่แท้ขบวนของจอมยุทธ์แตงกวาได้มาถึงปลายถนนที่มุ่งสู่ลานประลองแล้ว เหล่าชาวยุทธ์ต่างทอดตามองขบวนเห็นประกอบด้วยเหล่าผู้อาวุโสในยุทธจักรที่ประกาศตัวออกหน้าหนุนจอมยุทธ์แตงกวาหลายท่าน มีทั้งยอดปรมาจารย์, อดีตประมุข, ยอดกุนซือ และ เหล่าทายาทยอดฝีมือมากมายที่ห้อมล้อมพร้อมด้วยธงทิวที่แห่แหนดูตื่นตาน่าเกรงขามยิ่ง 
“เฮอะ..ชัยชนะครั้งนี้ต้องเป็นของจอมยุทธ์แตงกวาอย่างแน่นอน...” ชาวยุทธ์สาวกจอมยุทธ์แตงกวาอยู่ในกลุ่มที่นั่งล้อมวงผู้หนึ่งส่งเสียงอย่างมั่นใจก่อนกล่าวต่อ “หมัดปราบมังกรของท่านแทบไร้ผู้ต่อต้านแล้วในยุทธจักรนี้...” มันกล่าวถึงยอดวิชาหมัดปราบมังกรของจอมยุทธ์แตงกวาที่โค่นยอดฝีมือมาแล้วมากมาย

เล่าโตวทอดสายตามองจอมยุทธ์แตงกวาที่นั่งแย้มยิ้มอยู่ในเกี้ยวพลันหันกลับมากล่าวกับขาวยุทธ์ในโรงเตี๊ยม “ท่านผู้นี้กล่าวมิผิด หมัดปราบมังกรของจอมยุทธ์แตงกวานับได้ว่ามีพลังกร้าวแกร่งดุดันสมเป็นยอดวิทยายุทธ์ ในความเห็นข้าพเจ้าสามารถกล่าวได้ว่าจอมยุทธ์แตงกวานั้นเป็น 1 ใน 5 สุดยอดฝีมือแห่งยุค มิเพียงแต่หมัดปราบมังกรที่ดุดันเกรี้ยวกราดทรงพลังเท่านั้น ท่านยังได้ฝึกฝนยอดวิชาพลังดูดดาวอันลี้ลับอีกด้วย เพียงแต่น่าเสียดาย.......” 

“เล่าโตวท่านเสียดายอันใด ?” ชายกลางคนที่เป็นชาวยุทธ์ไร้สังกัดเอ่ยถาม 

เล่าโตวพลันถอนหายใจก่อนตอบ “หมัดปราบมังกรของท่านแม้จะทรงพลังน่าหวาดหวั่นหากแต่ต้องใช้กำลังภายในมิใช่น้อย ดังนั้นยอดวิชานี้จึงต้องใช้ช่วงเวลาอันสั้นสำหรับการชิงชัย และเพราะการทุ่มเทฝึกหมัดปราบมังกรทำให้ท่านต้องแลกด้วยวิชาตัวเบาและวิชาลมปราณสื่อสาร...ท่านทั้งไม่อาจใช้วิชาตัวเบาได้พลิ้วไหวอย่างแคล่วคล่อง มิหนำซ้ำยามเอื้อนเอ่ยยังตะกุกตะกักเนื่องจากหมัดปราบมังกรได้ดึงเอากำลังภายในไปสิ้น วิชาทั้งสองนี้ของจอมยุทธ์แตงกวานั้น ในความคิดเห็นของข้าพเจ้ากลับไม่ได้เปรียบอันใด ซ้ำร้ายยังเป็นวิชาที่ท่านด้อยมากที่สุดในบรรดาจอมยุทธ์ทั้งสามท่านที่ร่วมประลองในครั้งนี้ ส่วนวิชาพลังดูดดาวนั้นแม้จะเป็นยอดวิชาที่สามารถหยิบยืมพลังผู้อื่นได้ในระยะร้อยก้าวทั้งยังสามารถรับการถ่ายทอดพลังจากผู้อื่นมาเพิ่มพูนเป็นของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว แต่วิชานี้มีถิ่นกำเนิดเร้นลับนอกกำแพงใหญ่ถือเป็นวิชาฝ่ายมาร ซึ่งหากใช้พลังนี้ดึงดูดพลังผู้อื่นมากเกินไปจะทำให้ลมปราณตีกลับ ไม่เพียงแต่ไม่เป็นประโยชน์กับตัวเองหากแต่กลับจะเป็นโทษมหันต์เพราะอาจทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกได้โดยง่ายอีกด้วย....เท่าที่ข้าพเจ้ารับทราบ จอมยุทธ์แตงกวาได้ทุ่มเทการใช้วิชาพลังดูดดาวนี้เพิ่มพลังจนถึงระดับที่น่าตระหนกแล้วในตอนนี้” เล่าโตวกล่าวอย่างยืดยาว 

“ผายลมชัดๆ นี่เป็นวาจาใดของเจ้า ?” ชายฉกรรจ์ใส่เสื้อคลุมผู้สนับสนุนจอมยุทธ์แตงกวาตวาดพร้อมฟาดฝ่ามือใส่โต๊ะจนแตกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นใช้กรงเล็บเหล็กในมือตะกุยใส่ปากเล่าโตวด้วยความแค้นใจ เล่าโตวเบี่ยงกายหลบเล็กน้อยทำให้กรงเล็บเหล็กพลาดเป้าไปเพียงสามหุนอย่างน่าหวาดเสียวก่อนคว้าตะเกียบบนโต๊ะเคาะใส่ข้อมือของชายฉกรรจ์นั้นจนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและต้องปล่อยกรงเล็บเหล็กร่วงลง

“เล่าโตว..เจ้ากล้ากล่าววาจาใส่ร้ายท่านผู้เฒ่าเช่นนี้เราจะได้เห็นดีกัน” ชายฉกรรจ์กล่าวจบแล้วสะบัดหน้าพุ่งตัวออกนอกหน้าต่างไปราวกับลูกธนูหลุดจากคันศร..... 

เล่าโตวถอนหายใจเฮือกและหันมาประสานมือกล่าวกับเหล่าชาวยุทธ์ “ขออภัยที่ข้าพเจ้ากล่าวคำล่วงเกินแก่บุคคลที่ท่านชื่นชม ข้าพเจ้าเพียงแค่วิจารณ์และแสดงความคิดเห็นไปตามข้อเท็จจริงเท่านั้นมิได้ต้องการใส่ร้ายหรือสรรเสริญเยินยอผู้ใด หากถ้อยคำของข้าพเจ้าแสลงหูพวกท่านไปบ้างก็ขอโปรดอภัย หรือหากท่านไม่สบายใจก็สามารถจากไปได้ทุกเวลา” 

“อามิตาพุทธ” หลวงจีนรูปที่ใช้ลมปราณราชสีห์คำรามพลันเอื้อนเอ่ย “การวิเคราะห์ของประสกเล่าโตวที่ผ่านมานั้นแม่นยำดุจคำทำนายของเทพพยากรณ์ หาได้เคยผิดพลาดสักครั้งไม่ ขอให้ประสกทุกท่านควรสงบใจนั่งฟังให้จบอย่าได้ก่อเรื่องอีกเลย...” 

“วาจาแม้กล่าวมีเหตุผล แต่เล่าโตวท่านคงลืมมองเหล่ากุนซือและยอดคนรอบตัวจอมยุทธ์แตงกวาไปกระมัง ? ท่านเหล่านั้นล้วนเป็นปรมาจารย์แห่งยุคทั้งสิ้น หากไม่เห็นดีเห็นงามกับจอมยุทธ์แตงกวาเหล่าท่านคงไม่กล้าออกมารับประกันเช่นนี้ดอก...ยังไงข้าพเจ้าก็เห็นว่าท่านจอมยุทธ์แตงกวาไม่มีทางพ่ายแพ้ในการประลองครั้งนี้อย่างเด็ดขาด” ชายกลางคนแต่งกายคล้ายนายวาณิชสวมผ้าโพกหัวสนับสนุนจอมยุทธ์แตงกวาพลันเอื้อนเอ่ย
 
มันผู้นี้มีฉายากงจื้อหน้าหยก ที่จริงแม้มีอายุมากแล้วแต่ยังคงรักษารูปร่างได้ดีราวกับกงจื้อหนุ่มรูปงาม บุรุษผู้นี้นับเป็นผู้สนับสนุนจอมยุทธ์แตงกวาอย่างแข็งขันทั้งในเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
 
“เหตุใดท่านกล้ากล่าวด้วยความมั่นใจเช่นนี้ ?” ดรุณีน้อยไร้สังกัดผู้หนึ่งพลันถามกงจื้อหน้าหยก 
กงจื้อหน้าหยกลุกขึ้นประสานมือคารวะไปรอบทิศแล้วกล่าวเสียงดังกังวาน “แม้นมินับพลังฝีมือที่เลิศเลอของท่านว่าที่ประมุขคนใหม่ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสสนทนากับเหล่าปรมาจารย์และผู้อาวุโสในทีมกุนซือแล้วเห็นว่าในยุคฟื้นฟูเช่นนี้มีแต่เหล่าบรรดาผู้อาวุโสเท่านั้นที่จะสามารถมาหนุนนำยุทธจักรให้หลุดพ้นจากวิกฤตนี้ได้” 

“ท่านอาศัยอะไรถึงได้กล่าวเยี่ยงนั้น ?” ดรุณีน้อยไร้สังกัดถามต่อ 

“ด้วยประสบการณ์ของบรรดาท่านผู้เฒ่ารวมกันแล้วมากมายไม่น้อยกว่าพันปี พวกผู้เฒ่าท่านจึงอาสาจะเดินนำหน้าฝ่าวิกฤต...โบราณว่าเดินตามหลังผู้ใหญ่สุนัขไม่กัด เด็กน้อยเจ้าคงเกิดไม่ทันกระมัง ?

“ฮาๆๆๆ....” ชายในชุดสีครามซีดไร้สังกัดสวมหมวกกุ้ยเล้ยปกปิดใบหน้าพลันหัวร่ออย่างขบขัน 
“ที่ท่านกล่าวล้วนล้อเล่นกระมัง ?” มันกล่าวต่อพร้อมถอดหมวกกุ้ยเล้ยวางลงบนโต๊ะเผยให้เห็นใบหน้าหยาบกร้านและศีรษะที่มีผมเบาบาง...แท้ที่จริงมันเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว 

“คำพูดนี้ข้าพเจ้าได้ยินมาตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ยุทธภพ ผ่านไปยี่สิบปีให้หลังพวกท่านยังคงเห็นเราเป็นเพียงเด็กหรือไร ?” มันหันมากล่าวต่อชาวยุทธ์หนุ่มสาวทั้งทีมีและไม่มีสังกัด 

“หากเด็กๆ อย่างพวกท่านมัวแต่เดินตามหลังผู้ใหญ่เช่นเดียวกับข้าพเจ้า มีแต่จะถูกพวกผู้อาวุโสมองท่านเป็นเด็กไปตลอดกาล ถ้าพวกท่านอยากจะเป็นผู้ใหญ่ก็จงอย่ากลัวการเดินแซงไปข้างหน้าให้สุนัขกัดสักเขี้ยวนึงก็คงมิเป็นไรดอก...” มันกล่าวจบพร้อมกับเสียงปรบมือชอบใจเกรียวกราวจากบรรดาจอมยุทธ์รุ่นหนุ่มสาว
 
“ใช่แล้ว...คำพูดท่านกล่าวนี้ถูกใจข้าพเจ้ายิ่งนัก พวกท่านเหล่าผู้อาวุโสล้วนคิดเห็นคร่ำครึเกินไปแล้ว พวกเราล้วนมีความสามารถไม่ได้ด้อยกว่าบรรดาท่านผู้เฒ่าเลย ขาก็เป็นขาของเราจะให้สุนัขขบกัดสักกี่เขี้ยวมันก็เป็นเรื่องของเรา พวกท่านผู้อาวุโสไม่ต้องมาเดือดร้อนด้วยเลย...” ชาวยุทธ์เยาว์วัยในชุดสีส้มกล่าวเสียงดังพร้อมชูสามนิ้วเรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าจอมยุทธ์ได้อย่างกึกก้อง 

กงจื้อหน้าหยกยกสองมือขึ้นส่งสัญญาณให้หยุดส่งเสียงแล้วกล่าว “พี่น้องและสหายชาวยุทธ์โปรดฟังข้าพเจ้ากล่าวสักนิด ยอดคนผู้อาวุโสเหล่านั้นเพียงต้องการปวารณาตัวเป็นเสาหลัก เป็นไม้ใหญ่คอยปกป้องคุ้มภัยให้พวกท่านเหล่าไม้เล็กได้เรียนรู้ประสบการณ์ก่อนจะเติบโตเพียงเท่านั้นดอกหาได้มีความหมายอื่นไม่” 
คราวนี้ชาวยุทธ์เยาว์วัยในชุดสีส้มกลับหัวร่อออกมาไม่ขาดเสียง 
“ฮาๆๆๆๆ กงจื้อหน้าหยกท่านเคยสักครั้งที่จับจ้องที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หรือไม่ ? มันหยุดหัวเราะพร้อมกล่าวต่อด้วยเสียงเย็นชา “ใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่มีที่ให้ต้นไม้เล็กได้เจริญเติบโตอย่างทัดเทียมดอก” มันกล่าวจบพร้อมกับชูสามนิ้ว ชายกลางคนในชุดครามพลันปรบมือชอบใจพร้อมกล่าวชมชาวยุทธ์ในชุดสีส้ม “ตีตี๋กล่าววาจาได้แหลมคมยิ่งนัก พวกท่านสามารถดูตัวอย่างเช่นข้าพเจ้าได้เป็นอย่างดี” 

กงจื้อหน้าหยกทอดถอนใจที่หามีผู้รับฟังมันไม่แล้วจึงกล่าว “วาจาที่ข้าพเจ้ากล่าวล้วนมาจากความจริงใจ หากพวกท่านเหล่าหนุ่มสาวฟังแล้วคร่ำครึเกินไปข้าพเจ้าก็มิอาจกล่าวต่อ...ขออำลา” มันประสานมือกล่าวกับเหล่าชาวยุทธ์ หันมาคำนับเล่าโตวและโฉมสะคราญหอมพันลี้ “ข้าพเจ้าขออำลา” ก่อนสะกิดเท้าพุ่งผ่านฝูงชนเข้าสมทบขบวนของจอมยุทธ์แตงกวาสู่ลานประลอง.... 

ความนิ่งงันเข้าปกคลุมอยู่ชั่วขณะพลันมีนักพรตสวมชุดยาวมีสัญลักษณ์พรรคต้อยติ่งลุกขึ้นประสานมือแล้วกล่าวแนะนำตัว “เล่าฮูมีชื่ออันต่ำต้อยว่าเก็งพ้ง ฉายาหัตถ์มัจจุราชขอคารวะทุกท่าน” 

ที่แท้มันคือยอดฝีมือข้างกายของจอมยุทธ์ต้อยติ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในแดนทักษิณมานานปี...เก็งพ้งกระแอมเล้วกล่าวต่อ “ในการประลองครั้งนี้เล่าฮูมั่นใจว่าวิทยายุทธของจอมยุทธ์ต้อยติ่งนั้นมิได้ด้อยกว่าผู้ใด ทั้งยังเคยชนะการประลองเป็นประมุขถึงสองสมัย ไม่ว่าวิชาบู๊หรือบุ๋นท่านต่างเชี่ยวชาญชำนาญทั้งสิ้น ที่ผ่านมาล้วนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมาย หากท่านประมุขได้รับการสนับสนุนกำลังใจจากพวกท่านเชื่อว่าท่านจะสามารถสร้างผลงานเพื่อเราชาวยุทธได้อีกมาก ที่สำคัญท่านมีความรักในสมาคมอย่างลึกซึ้ง เล่าฮูจึงขอฝากให้ท่านทั้งหลายส่งเสริมท่านผู้เฒ่าอีกครั้งหนึ่งด้วย...” จบคำกล่าวหัตถ์มัจจุราช เก็งพ้งโผขึ้นสู่ท้องฟ้าและใช้วิชากระเรียนเหินหาวที่สร้างชื่อผลัดเปลี่ยนพลังกลางอากาศร่อนลงใกล้กับกลุ่มชายฉกรรจ์สี่ห้าคนที่ซุ่มซ้อมวิทยายุทธ์หน้าทางเข้าเวทีประลองที่ห่างออกไปเกือบร้อยวา 

เล่าโตวจับจ้องมองท่าร่างของเก็งพ้งพร้อมคำกล่าวคำชมเชย “ท่าร่างอันยอดเยี่ยม” จากนั้นจึงได้เห็นจอมยุทธ์ต้อยติ่งในวงล้อมของเหล่ากุนซือกำลังสะบัดฝ่ามือและท่าเท้าเตะกวาดรอบด้านอย่างรวดเร็วดุจประกายไฟ 
“ท่านมีความคิดเห็นเช่นไรกับจอมยุทธ์ต้อยติ่งในการประลองครั้งนี้ ?” โฉมสะคราญหอมพันลี้หันหน้ามาถามเล่าโตว เล่าโตวยังคงจับจ้องที่การซ้อมฝีมือของจอมยุทธ์ต้อยติ่งก่อนที่นางจะเห็นสีหน้าเล่าโตวเคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด 
“ข้าพเจ้าคิดว่านี่ไม่ใช่เวลาของจอมยุทธ์ต้อยติ่ง มิเพียงแต่จะไม่อาจคว้าชัยชนะในครั้งนี้ได้เท่านั้นข้าพเจ้าคาดว่านี่จะเป็นการประลองชิงตำแหน่งประมุขของท่านเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว” เล่าโตวเอ่ยอย่างครุ่นคิด

“ไฮ้..ไยท่านกล่าววาจารุนแรงปานนี้ วิชาสะกดจิตคร่าวิญญาณที่สร้างชื่อของท่านให้เลื่องลือมิใช่ยอดฝีมือทั่วไปจะต้านทานได้ มิทราบว่าท่านมีเหตุผลอื่นใดสนับสนุนข้อคิดเห็นหรือไม่ ?” ชายกลางคนในชุดครามคนเดิมกล่าวถามเล่าโตว ท่ามกลางเสียงซุบซิบของบรรดาชาวยุทธ์ 

“ทุกท่านโปรดฟังข้าพเจ้า” เล่าโตวยกมือทัดทานเหล่าชาวยุทธ์ให้สงบเสียงลง จากนั้นจึงกล่าวต่อ 
“พวกท่านอาจจะยังไม่ทราบหรือลืมไปแล้วว่าวิชาที่สร้างชื่อให้ท่านจอมยุทธ์ต้อยติ่งอย่างแท้จริงนั้นคือวิชาตอนต่อบุปผาที่ท่านเคยฝึกฝนกับนิกายเม้งก่าในเขตทะเลทราย วิชาตอนต่อบุปผานี้แท้จริงเป็นแขนงย่อยของวิชาพลังดูดดวงดาว ซึ่งคัมภีร์ย่อยนี้ได้สูญหายไปในครั้งเกิดมหาอัคคีภัยที่เมืองลั่วหยางเมื่อสองร้อยปีก่อน จากนั้นจึงได้ผลัดเปลี่ยนตกทอดมาหลายครั้งจนมาอยู่กับนิกายเม้งก่า ฟังว่าเฒ่าแมงมุมเป็นผู้ถ่ายทอดให้กับจอมยุทธ์ต้อยติ่งด้วยตัวเองก่อนที่จะเสียชีวิตกลางทะเลทรายจากการรุมทำร้ายของเหล่าศัตรูยอดฝีมือ วิชาตอนต่อบุปผามีเคล็ดลับที่การดึงดูดการถ่ายทอดพลังจากผู้อื่นเพื่อการอยู่รอดหรือเพื่อให้มีชัยในการต่อสู้ หากแต่เป็นจำนวนไม่มากนักและไม่สามารถดึงดูดพลังได้ในระยะร้อยก้าวเหมือนกับวิชาพลังดูดดวงดาวของจอมยุทธ์แตงกวา หากเปรียบวิชาทั้งสองเหมือนดั่งจอกและชามบนโต๊ะนี้ท่านคงเห็นได้ชัดเจนกระมัง ?” 

“แต่ท่านคงไม่ลืมว่าจอมยุทธ์ต้อยติ่งยังมีวิชาสะกดจิตคร่าวิญญาณที่ร้ายกาจด้วย ข้าพเจ้ามั่นใจว่าท่านจะใช้พลังวิชาทั้งสองประสานกันเอาชนะทั้งจอมยุทธ์แตงกวาและจอมยุทธ์เอ่เอ๊ได้อย่างแน่นอนถึงต่อให้จู่โจมท่านพร้อมกันก็ตามเถอะ” ชาวยุทธ์หนุ่มน้อยหน้ามนกล่าวเสริม มันมิได้ติดตราสัญลักษณ์สนับสนุนผู้ใดแต่จากคำพูดคล้ายเอนเอียงมาทางจอมยุทธ์ต้อยติ่ง...
 
“ประสกท่านนี้สามารถนำใบบอกแลกตั๋วเงินจากประสกต้อยติ่งไปแลกได้จนสำเร็จเมื่อเดือนก่อน” หลวงจีนน้อยในกลุ่มหลวงจีนจากวัดเส้าหลินแอบส่งเสียงผ่านลมปราณให้เล่าโตวได้ยิน 

เล่าโตวมองสบตาหลวงจีนน้อยพร้อมยิ้มให้ก่อนกล่าวต่อไป “วิชาสะกดจิตคร่าวิญญาณที่สร้างชื่อให้ท่านจอมยุทธ์ต้อยติ่งนั้นดูเผินๆ เป็นวิชาที่ร้ายกาจยากรับมือ หากแต่เป็นเคล็ดวิชาที่ผู้ใช้ไม่อาจวางใจได้ บางทีคิดจะใช้ก็ไม่มา บางคราคิดจะหยุดกลับแผ่พุ่งพลัง นับเป็นเคล็ดวิชาที่ไม่อาจควบคุมได้ดังใจโดยแท้จริง พวกท่านคงได้เห็นท่านจอมยุทธ์ใช้วิชานี้แล้วเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน เป็นการสะกดจิตนำใบบอกแลกตั๋วเงินเพื่อช่วยฟื้นฟูภัยพิบัติตามคำสัญญาของเหล่าขุนนางกรมคลัง มิคาดเหล่าขุนนางกลับปล่อยคำลวงทำให้เหล่าชาวยุทธ์ผู้ครอบครองใบบอกนั้นขุ่นเคืองอย่างยิ่งที่โดนล่อลวง และเลยมาพาลหาเรื่องลงที่ท่านจอมยุทธ์...เดิมท่านจอมยุทธ์คิดว่าพลังสะกดจิตนี้จะสามารถช่วยเหลือชาวยุทธจักรให้พ้นจากความเดือดร้อนได้สำเร็จซึ่งจะส่งเสริมให้ท่านมีชัยชนะจากการประลองครั้งนี้ไม่ยาก มิคาดว่าผลจะออกมาไม่ได้ดังใจของท่านจนลมปราณตีกลับกระทบกระเทือนชีพจรท่านเช่นนี้...” 

“แต่นั้นก็ไม่ควรเป็นเหตุให้การประลองครั้งนี้ของท่านเป็นการประลองครั้งสุดท้ายตามที่ท่านกล่าวคาดการณ์กระมัง ?” ชาวยุทธ์หนุ่มคนเดิมกล่าวด้วยความงุนงงสงสัย 

เล่าโตว ยิ้มพลางกล่าวเพิ่มเติม “เรื่องนี้ย้อนกลับไปเมื่อหกปีก่อน ในครั้งที่จอมยุทธต้อยติ่งครองตำแหน่งประมุขเป็นครั้งที่สอง ท่านกลับเร่งขยายดินแดนเพื่อสร้างชื่อเสียงสู่การประลองในเวทีอันดับหนึ่ง ในครานั้นท่านได้ปล่อยให้พ่อบ้าน และ เหล่าหัวหน้าสาขาเป็นผู้ดูแลสมาคม ทำให้เหล่าชาวยุทธ์รู้สึกเหินห่างและล้วนไม่พอใจท่านมาจนถึงทุกวันนี้...นี่นับเป็นอีกหนึ่งบาดแผลใหญ่ของท่านที่ยากจะรักษาให้หายได้จวบจนปัจจุบัน” มันกล่าวเสริมพร้อมยืดคอมองออกไปยังลานฝึกซ้อมของจอมยุทธ์ต้อยติ่งพร้อมกล่าว

“ข้าพเจ้าขอเชิญท่านทั้งหลายสังเกตการฝึกซ้อมเพลงหมัดฝ่ามือของจอมยุทธ์ต้อยติ่งในครั้งนี้ให้ชัดเจน มิทราบมีท่านใดได้สังเกตเห็นความแตกต่างเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าได้เห็นหรือไม่ ?" 

“ข้าพเจ้าเห็นว่าแม้วิชาหมัดและวิชาเท้าของท่านยังคงรวดเร็วแคล่วคล่อง แต่ดูเหมือนจะไร้พลังเฉกเช่นกาลก่อน มิทราบท่านเห็นด้วยหรือไม่ ? โฉมสะคราญหอมพันลี้หันมากล่าวกับเล่าโตว 
“เป็นเช่นนั้น” เล่าโตวกล่าวตอบ 
“ด้วยการเคลื่อนไหวที่แคล่วคล่องว่องไวของท่านแบบนี้ถ้าเป็นกาลก่อนพวกเราจะได้เห็นฝุ่นทรายจากพลังหมัดและเท้าของท่านคละคลุ้งปกคลุมในรัศมีไม่น้อยกว่ายี่สิบก้าวซึ่งแตกต่างจากครั้งนี้มากที่เห็นเพียงใบไม้สั่นไหวเพียงบางเบา นอกนั้นข้าพเจ้ายังสังเกตเห็นลมปราณของท่านคล้ายไม่ประติดประต่อสืบเนื่องกันไปในอีกหลายครั้งอีกด้วย” จบคำของเล่าโตว ดูราวกับร่างของจอมยุทธ์ต้อยติ่งจะซวนเซเหมือนสิ้นเรี่ยวแรง หากแต่บรรดากุนซือรีบเข้ามาประคองเอาไว้ มันสังเกตเห็นคล้ายใบหน้าของท่านจอมยุทธ์ซีดเผือด และกล่าวพึมพำเหมือนต้องการจะเปลี่ยนใจออกจากการเข้าประลองอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งเหล่ากุนซือกลับมารุมล้อมพากันประคองให้ยืนฝึกฝนและทบทวนวิทยายุทธ์ต่อไป 

“ท่านประมุขมิต้องกังวลใจไป แม้นท่านไร้เรี่ยวแรงจะปีนขึ้นเวที พวกข้าพเจ้าจะยังคงอุ้มท่านขึ้นไปประลองอยู่ดี...” เล่าโตว ใช้ยอดวิชาโสตค้างคาวสดับฟังเหล่ากุนซือพูดกับจอมยุทธ์ต้อยติ่งจากระยะไกล 

“เหล่ากุนซื้อที่ใจร้ายนัก” เล่าโตว อดโพล่งออกมามิได้ มันรู้สึกเข้าใจและเห็นใจในจอมยุทธ์ต้อยติ่งเป็นอย่างยิ่ง หากเปลี่ยนการประลองหมัด เท้า ฝ่ามือเป็นวิชาตัวเบาและลมปราณสื่อสารมันยังคิดว่าจอมยุทธ์ต้อยติ่งมีโอกาสกำชัยชนะมากกว่านี้เพราะในบรรดาจอมยุทธ์คู่แข่งทั้งสามท่าน จอมยุทธ์ต้อยติ่งนับเป็นผู้ที่มีท่าร่างที่สามารถพลิกพลิ้วและใช้วิชาลมปราณสื่อสารได้ดีที่สุด ยิ่งหากสามารถผนึกกับพลังสะกดจิตคร่าวิญญาณได้ถูกจังหวะจะโคน นับได้ว่าจอมยุทธ์ต้อยติ่งมีโอกาสที่จะได้ครองตำแหน่งประมุขคนใหม่มากกว่าใครๆ

...น่าเสียดายที่โชคชะตามิสู้ฟ้าลิขิต... ด้วยเหตุเองนี้มันจึงกล้ากล่าวออกมาอย่างชัดเจนต่อหน้าเหล่าชาวยุทธ์ว่านี่จะเป็นการประลองชิงตำแหน่งประมุขในครั้งสุดท้ายของท่านจอมยุทธ์ต้อยติ่งอดีตประมุขสองสมัย.... 

สิ้นคำอธิบายเหล่าชาวยุทธ์น้อยใหญ่ต่างนิ่งงันลงพร้อมกล่าวพึมพำ “เป็นเช่นนี้เองเล่า มิน่า มิน่า...” 

“เวลาเหลืออีกไม่นานก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น ผู้เยาว์ขอเรียนถามท่านเล่าโตว...” เสียงชายกลางคนในชุดครามกล่าวอีกครั้ง 

“ท่านมีความคิดเห็นเยี่ยงไรต่อจอมยุทธ์เอ่เอ๊ ? ในความเห็นของท่านจอมยุทธ์เอ่เอ๊จะสามารถช่วงชิงตำแหน่งประมุขในครั้งนี้ได้หรือไม่ ? สิ้นคำถามมีเสียงใบไม้กลุ่มหนึ่งแหวกอากาศปักตรึงเข้ากับเพดานโรงเตี๊ยมดัง ต๊ก ต๊ก ต๊ก 

“วิชาซัดใบไม้แทนอาวุธที่น่าประทับใจนัก” เหล่าชาวยุทธ์รุ่นใหม่ผู้สนับสนุนจอมยุทธ์เอ่เอ๊ต่างโห่ร้องยินดีที่เห็นใบไม้ถูกซัดจนจมลึกหายไปในเพดานโรงเตี๊ยมเกินครึ่งใบ 

คนมิทันปรากฏกลับปรากฏยอดวิชากำลังภายในนำหน้ามาก่อน...ที่แท้ขบวนของจอมยุทธ์เอ่เอ๊เพิ่งเดินทางผ่านประตูลานประลองมาอย่างเงียบๆ กลับซัดใบไม้ทักทายเหล่าชาวยุทธ์ในโรงเตี๊ยมที่จับจ้องการมาถึง

จอมยุทธ์เอ่เอ๊นั่งแย้มยิ้มบนหลังม้าในมือยังถือใบไม้แบบเดียวกันกับที่ซัดออกมาอยู่ห้าหกใบ 

“ตั่วเฮียท่านสบายดี ทุกท่านสบายดี ?” จอมยุทธ์เอ่เอ๊ยกมือประสานพลางกล่าวเสียงก้องกังวานทักทายเล่าโตวและเหล่าชาวยุทธ์มาแต่ไกล 
“ข้าพเจ้าสบายดี” เล่าโตว ประสานมือตอบพร้อมกล่าวถามกลับ “ท่านรองประมุขสบายดี ?” ที่แท้จอมยุทธ์เอ่เอ๊ยังคงครองตำแหน่งรักษาการรองประมุขสมาคม 
“ข้าพเจ้าสบายดียิ่ง” จอมยุทธ์เอ่เอ๊ กล่าวตอบเล่าโตว แต่มันลอบสังเกตเห็นแววตาว้าวุ่นแฝงความกังวลของจอมยุทธ์เอ่เอ๊ที่พยายามซ่อนอำพรางหลังรอยยิ้ม 
“ใกล้เวลาประลองแล้วข้าพเจ้าขอตัวไปก่อนก้าวหนึ่ง” จอมยุทธ์เอ่เอ๊ร้องบอกชาวยุทธในโรงเตี๊ยม 
“ท่านจอมยุทธ์ เชิญ เชิญ เชิญ” เสียงตอบกลับอึงคะนึงจากเหล่าชาวยุทธ์ก่อนเห็นขบวนเหล่านักสู้หนุ่มสาวในสังกัดจอมยุทธ์เอ่เอ๊สาวเท้าเดินอย่างแคล่วคล่องคึกคักโดยพร้อมเพรียง 
นี่นับเป็นกลุ่มยอดฝีมือหนุ่มสาวอีกกลุ่มที่อุทิศตัวเพื่อฟื้นฟูยุทธจักร... 

“เล่าโตว ท่านยังมิได้ตอบคำถามข้าพเจ้า” ชายชุดครามประสานมือให้เล่าโตวพร้อมทวงถามคำตอบ 
เป็นอีกครั้งที่เล่าโตวตอบคำถามช้าๆ อย่างครุ่นคิด 
“ชัยชนะของจอมยุทธ์เอ่เอ๊นั้นมีโอกาสอยู่บ้างแต่มิใช่ได้มาโดยง่ายดายนักและชัยชนะนี้ล้วนขึ้นอยู่กับวาสนาและองค์ประกอบอื่นอีกหลายประการด้วยกัน” เล่าโตวกล่าวจบคำพลันเห็นสีหน้าผู้สนับสนุนจอมยุทธ์เอ่เอ๊หลายคนล้วนแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง 

“ท่านเล่าโตวกล่าวเช่นนี้ไม่ถือเป็นการดูแคลนจอมยุทธ์เอ่เอ๊เกินไปหรอกฤา ?” ชายกลางคนร่างท้วมผู้หนึ่งกล่าวสะบัดด้วยความขุ่นเคือง 
“วิชาภายนอกท่านฝึกปรือหมัดไทเก๊กจนเชี่ยวชาญชำนาญ ส่วนกำลังภายในท่านก็สำเร็จวิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็นสามารถเคลื่อนพลังโคจรรักษาอาการบาดเจ็บได้ด้วยตัวเองตลอดเวลา ทั้งสองวิชานี้สามารถเสริมส่งกันได้อย่างยอดเยี่ยมนับว่าท่านเป็นยอดฝีมือรุ่นใหม่ที่ยากจะหาผู้ใดทัดเทียมได้ในปัจจุบัน” 

“ข้าพเจ้ายังได้ยินว่าท่านสำเร็จวิชาไหมฟ้าจากทายาทรุ่นที่ห้าของยอดปรมาจารย์ อี่ น่ำ ทีอีก ด้วย” บุรุษที่สักลายรอบแขนอีกผู้หนึ่งกล่าวเสริม 
“เช่นนี้ผู้ชนะน่าจะเป็นจอมยุทธ์เอ่เอ๊ของพวกเราอย่างแน่นอน” สิ้นคำกล่าวชาวยุทธ์ผู้สนับสนุนจอมยุทธ์เอ่เอ๊ ต่างส่งเสียงโห่ร้องอย่างอื้ออึง 
เล่าโตวพลันยกมือขึ้นแล้วกล่าว “ท่านชาวยุทธ์ทั้งหลาย...” 

“จริงอยู่ที่จอมยุทธ์เอ่เอ๊นับเป็นอัจฉริยะยอดฝีมือรุ่นหลัง แต่ครั้งนี้คู่ต่อสู้ของท่านคือ จอมยุทธ์แตงกวาอดีตประมุขสมาคมอันดับสอง และ จอมยุทธ์ต้อยติ่งอดีตประมุขสมาคมลู่ซิงถึงสองครั้งครา สำหรับท่านนี่นับเป็นการต่อสู้ที่น่าวิตกกังวลเป็นยิ่งนัก...พี่น้องชาวยุทธ์ทั้งหลาย แม้จอมยุทธ์เอ่เอ๊จะสำเร็จวิชาหมัดไทเก๊กและเคลื่อนย้ายเส้นเอ็นซึ่งนับเป็นสองสุดยอดวิชา เคล็ดลับของวิชาไทเก๊กที่บัญญัติโดยท่านปรมาจารย์ เตีย ซำ ฮง นั้นใช้หลักการอ่อนต้านแข็งและใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ซึ่งจะสามารถทำให้ท่านสามารถยืนต่อสู้ได้อย่างยาวนานนับพันกระบวนท่า ยิ่งท่านสามารถใช้วิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็นรักษาตัวเองจากอาการบาดเจ็บในระหว่างการต่อสู้ได้ตลอดเวลา นี่ช่างนับเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง เพียงแต่น่าเสียดาย....”
 
“เล่าโตวท่านกล่าวน่าเสียดายอะไรกัน...” ชาวยุทธ์ในชุดครามเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด
 
เล่าโตวกล่าวตอบช้าๆ “น่าเสียดายที่จอมยุทธ์เอ่เอ๊ท่านใช้ความสงบมากเกินไป นิ่งมากเกินไปจนคล้ายถูกช่วงชิงความได้เปรียบไประยะหนึ่งแล้วเพียงแต่มิทราบจะสามารถใช้ช่วงเวลาที่เหลือสามารถชิงโอกาสกลับมาหรือไม่ ? ส่วนยอดวิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็นนั้นแม้จะเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยม แต่หากถูกหมัดฝ่ามือกระแทกติตต่อกันซ้ำๆ ในระยะเวลาอันสั้น ต่อให้หมอฮัวโต๋กลับชาติมาเกิดอยู่ข้างๆ ก็มิสามารถช่วยอะไรท่านได้ดอก”
 
“เช่นนั้นกลับเป็นว่าจอมยุทธ์เอ่เอ๊ต้องพ่ายแพ้แน่นอนแล้วหรือกระไร ?” ชาวยุทธ์ในชุดส้มเอ่ยปากถาม 

เล่าโตวพลันลุกขึ้นยืน สองมือประคองถ้วยน้ำชายกให้กับชาวยุทธ์ในโรงเตี้ยมทุกผู้คน 

“สหายทั้งหลาย...ข้าพเจ้าจะคาดคะเนการประลองให้พวกท่านทั้งหลายได้ฟังโดยละเอียดดังนี้...” มันกระแอมแล้วกล่าวต่อ
 
“ศึกครั้งนี้จะเป็นการประลองยุทธ์ระหว่างจอมยุทธ์แตงกวา และ จอมยุทธ์เอ่เอ๊เป็นหลัก ส่วนจอมยุทธ์ต้อยติ่งนั้นหากโชคดีสามารถขึ้นเวทีมาได้ก็จะถือเป็นตัวแปรที่น่าสนใจ....ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงจอมยุทธ์แตงกวาเป็นอันดับแรก ท่านนับเป็นอดีตประมุขจากสมาคมที่ใหญ่กว่ายอมลดตัวลงมาชิงตำแหน่งประมุขในสมาคมอันดับสาม มิเพียงแบกหน้าตัวเองไว้ ทั้งยังแบกหน้าเหล่าผู้อาวุโสและปรมาจารย์ไว้ด้วย ดังนั้นจึงอยู่ในสภาพที่แพ้ไม่ได้ เชื่อว่าวิชาฝีมือที่ท่านจะใช้ในการประลองคงเกรี้ยวกราดดุดันจนถึงขีดสุดเพื่อคว้าชัยให้ได้ซึ่งอาจรวมถึงวิชาอาวุธลับที่ท่านเคยใช้เพียงน้อยครั้งอีกด้วย...ในสายตาของข้าพเจ้าหากการประลองครั้งนี้กระชับสั้น จอมยุทธ์แตงกวามีโอกาสได้รับชัยชนะถึงแปดส่วนถือว่าสูงกว่าทุกท่านที่ร่วมประลอง 

อันดับที่ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อมาคือจอมยุทธ์เอ่เอ๊....ในบรรดาผู้อาวุโสมักจะวิจารณ์ถึงจอมยุทธเอ่เอ๊ว่าเป็นจอมยุทธ์หนุ่มมีอนาคตไกลและพร้อมให้การสนับสนุนหากพ้นช่วงเวลานี้ ความคิดนี้สำหรับข้าพเจ้ามิเพียงน่าขบขันหากยังเป็นข้อจำกัดของเราชาวบู๊ลิ้มอีกด้วย จอมยุทธ์เอ่เอ๊นั้นแม้จะมีพลังฝีมือที่สูงเยี่ยม ความเพียบพร้อมครบครัน แต่นี่คือการลงสู่เวทีประลองครั้งแรกของท่าน ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าความประหม่าและการเห็นแก่หน้าเหล่าผู้อาวุโสจะทำให้ท่านไม่สามารถเปล่งประกายสุดยอดวิชาฝีมือออกมาได้อย่างขีดสุด ดังนั้นข้าพเจ้าจึงคิดว่าท่านมีโอกาสได้รับชัยชนะจากการประลองครั้งนี้เพียงเกินห้าส่วนเล็กน้อย...มีแต่เพียงใช้การประลองให้ยาวนานขึ้นเท่านั้นจึงจะเป็นโอกาสของท่าน 

ส่วนจอมยุทธ์ต้อยติ่ง...ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปแล้วว่าศึกครั้งนี้ไม่ใช่เวลาของท่าน ทั้งจากความลังเลทำให้ขาดความเชื่อมั่น และวิชาฝีมือที่มีดาวข่ม แม้นท่านดึงดันจะขึ้นสู่เวทีประลองข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าท่านอาจจะต้องพบกับความบอบช้ำสาหัสถึงขั้นอำลาการชิงตำแหน่งประมุขสมาคมอื่นๆ ในยุทธจักร ดังนั้นข้าพเจ้าจึงให้โอกาสที่ท่านจะได้รับชัยชนะเพียงสามส่วน” 

“ไฮ้..ความหมายของเล่าโตวท่านคือศึกครั้งนี้จอมยุทธ์แตงกว่าจะเป็นฝ่ายได้ชัยอย่างแน่นอน ?” หลวงจีนที่ส่งลมปราณราชสีห์คำรามกล่าวถามเล่าโตว 

เล่าโตวแย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบหลวงจีน “มิได้ มิได้ ท่านไต้ซือข้าพเจ้ายังมิได้กล่าวสรุปเช่นนั้น การประลองครั้งนี้ยังมีตัวแปรสำคัญที่สามารถกำหนดผลแพ้ชนะได้ไม่น้อยกว่าการประลองบนเวที” มันเว้นระยะหายใจพร้อมกล่าวถามเหล่าชาวยุทธ์
 
“พวกท่านว่าผู้ใดที่มีความหมายที่สุดในการกำหนดผลประลองครั้งนี้ ?” 

“หรือยังจะมีสุดยอดฝีมือท่านอื่นปรากฏตัวบนเวทีอีก ?” หลวงจีนเอ่ยถาม 

เล่าโตวเอ่ยปากตอบหลวงจีนด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้ที่สามารถกำหนดผลแพ้ชนะในศึกประลองครั้งนี้ได้ก็คือพวกท่านบรรดาเหล่าชาวยุทธ์ที่มาชมการประลองครั้งนี้นั่นเองหาใช่ใครอื่นไม่”
 
“ท่านกล่าวเช่นนี้เป็นความหมายใด ?” โฉมสะคราญหอมพันลี้เอ่ยถามหลังจากเงียบงันไปนาน เล่าโต่วกล่าวสืบต่อพร้อมชี้มือไปที่ลานประลอง 
“พวกท่านลองมองไปที่ลานประลองแห่งนี้ที่สามารถจุเราชาวยุทธ์ได้ถึงสี่ร้อยคน หากมีชาวยุทธ์มาร่วมชุมนุมเพียงครึ่งนึงชัยชนะจะตกเป็นของจอมยุทธ์แตงกวาอย่างมิต้องสงสัย แต่หากมีชาวยุทธ์มาร่วมชุมนุมจนเต็มนั่นก็จะมีผลที่แตกต่างออกไปแล้ว”
 
“เล่าโตวท่านโปรดให้ความกระจ่าง” ชาวยุทธ์หนุ่มในชุดส้มกล่าวอีกครั้งพร้อมพยายามชูสามนิ้ว 

เล่าโต่วแย้มยิ้มอีกครั้งแล้วจึงกล่าว 
“หากแม้นมีชาวยุทธ์มาชุมนุมเพียงครึ่ง ข้าพเจ้ามั่นใจว่าผู้ที่มาชมการประลองนั้นจะเป็นผู้สนับสนุนจอมยุทธ์แตงกวา เนื่องเพราะท่านได้รับการยอมรับจากชาวยุทธ์ว่ามีจิตใจกว้างขวางดั่งแม่น้ำฮวงโห ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเชื่อแน่ว่าพวกที่มาในเบื้องต้นล้วนแต่เป็นผู้ที่สนับสนุนจอมยุทธ์แตงกวาเป็นส่วนมาก แต่หากเหล่าชาวยุทธ์มาร่วมชุมนุมกันจนเต็มสนามประลองผู้ชนะอาจมิใช่จอมยุทธ์แตงกวา แต่เป็นผู้ใดก็ได้ในบรรดาทั้งสามท่าน” 

“พวกเราเป็นเพียงผู้มาชมการประลอง อีกทั้งไม่ได้ร่วมขึ้นเวทีไยท่านจึงบอกว่าพวกเราเป็นผู้ชี้ขาดและสามารถเป็นผู้กำหนดผลการประลองครั้งนี้ ? ผู้เอ่ยคำถามคือผู้เฒ่าน้ำเต้าที่มิเคยเอ่ยวาจามาก่อน 
“ข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านดู...” เล่าโตวตอบพร้อมกล่าวเสียงก้องดังกังวานกว่าทุกครั้ง
 
“สหายทุกท่านโปรดชูมือทั้งสองของท่านขึ้นสูงๆ พร้อมหงายฝ่ามือสู่ท้องฟ้า...มิทราบว่าพวกท่านเห็นอะไรที่ฝ่ามือหรือไม่ ?” เหล่าชาวยุทธ์พากันยกมือขึ้นสูงพร้อมหงายมือสู่ท้องฟ้าแต่กลับงุนงงยิ่งกว่าเดิมพร้อมเสียงตอบเกือบจะพร้อมกัน 

“ข้าพเจ้ามิเห็นอันใดเลย ท่านต้องล้อข้าพเจ้าเล่นแน่ๆ” พลันเล่าโตวกู่ร้องเสียงดังปานฟ้าผ่ารวบรวมกำลังภายในสะบัดมือวาดขึ้นไปในอากาศเกิดเสียงแหวกอากาศครืนๆ พร้อมเกิดแรงผลักดันเหล่าโต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาดออกไปรอบทิศ 
“พวกท่านลองมองดูที่ฝ่ามือตัวเองอีกครั้ง” เล่าโตวกล่าวเสียงดังกึกก้อง ที่แท้มันกำลังใช้วิชาเบิกเนตรเทพเจ้าเพื่อให้เหล่าชาวยุทธ์ได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน 

“เห็นแล้ว ๆ” “ข้าพเจ้าเห็นแล้ว” “ข้าพเจ้าก็เห็น” เสียงอุทานดังระงมจากปากเหล่าชาวยุทธ์ เล่าโตวพลันสะบัดมือลดทอนกำลังภายในลงกลับสู่ภาวะปกติแล้วจึงถาม 
“พวกท่านเห็นกระไรในมือ ?” 
“ข้าพเจ้าเห็นลูกกลมใสราวกับลูกแก้วปรากฏอยู่กลางฝ่ามือของข้าพเจ้า...ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ” เล่าโต่วมองหน้าเหล่าชาวยุทธ์แล้วยกมือขึ้นประสานไปยังเหล่าชาวยุทธ์ก่อนกล่าวอย่างสำรวม 

“ที่เหล่าท่านเห็นนั้นเรียกว่าลูกบอลเกงกิซึ่งมีอยู่ในตัวพวกท่านเอง ลูกบอลเกงกินี้ถือเป็นศาสตราวุธแห่งคุณธรรมที่ไม่เคยมีสุดยอดวิชาใดในแผ่นดินต่อต้านได้มาก่อน บอลเกงกิเพียงลูกสองลูกหรือเพียงเล็กน้อยอาจมิสามารถเปลี่ยนแปลงการอันใดได้ แต่หากเหล่าท่านร่วมแรงร่วมใจสร้างมหาลูกบอลเกงกินี้ส่งพลังไปยังผู้ใดผู้หนึ่ง สุดยอดพลังนี้ก็จะสามารถส่งเสริมมันผู้นั้นได้อย่างไร้ผู้ต่อต้าน...ข้าพเจ้าเพียงมุ่งหวังว่าเหล่าท่านจะได้ใช้พลังนี้เสริมส่งผู้ทรงคุณธรรมของสังคมและชาติบ้านเมืองของเราให้สูงขึ้น โดดเด่นขึ้นเหนือจากความชั่วร้ายทั้งมวล” 

“ในการประลองครั้งนี้พวกข้าพเจ้าก็สามารถใช้พลังลูกบอลเกงกินี้ได้ด้วยใช่หรือไม่ ?” บุรุษชุดส้มยังคงกล่าวถาม 
“นั่นย่อมแน่นอน พวกท่านสามารถใช้ลูกบอลเกงกินี้ส่งเสริมผู้ใดก็ได้ที่ท่านเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเราเหล่าชาวยุทธ์มากที่สุด ทีนี้พวกท่านคงหายสงสัยแล้วกระมังว่าผลการประลองครั้งนี้ไม่เพียงแต่กำหนดแพ้ชนะกันบนเวทีประลองเท่านั้น แต่ผลแพ้ชนะที่แท้จริงล้วนกำหนดในมือท่านนี่เอง....” 

“ท่านเล่าโตว พวกข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว ขอขอบคุณท่านที่ช่วยชี้แนะพลังในตัวของเหล่าข้าพเจ้า” ผู้เฒ่าน้ำเต้าเอ่ยคำขอบคุณเล่าโตว 
“ขณะนี้เวลาไม่เช้าแล้ว พวกข้าพเจ้าจะรีบไปจับจองที่นั่งในลานประลองเพื่อร่วมคัดเลือกประมุขที่เหมาะสมที่สุดในครั้งนี้ตามคำชี้แนะของท่าน...ขออำลา” 

“ช้าก่อนทุกท่าน...ข้าพเจ้ามีคำพูดจะกล่าวกับท่านประโยคนึงก่อนจากกัน....เหลือขุนเขาไม่วิตกไร้ฟืนไฟ...ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าการประลองครั้งนี้เปี่ยมด้วยรังสีการฆ่าฟันกันรุนแรงนัก ได้แต่หวังเตือนสติพวกท่านให้นึกถึงมิตรภาพและน้ำใจไมตรีต่อกัน มิฉะนั้นสิ่งที่ได้มาสำหรับผู้ชนะคือความสมหวัง แต่สิ่งที่เสียไปคือมิตรภาพและน้ำใจไมตรี....ทุกท่านโปรดถนอมตัว” 
มันกล่าวแล้วประสานมืออำลาเหล่าชาวยุทธ์ 

เสียงกลองพลันดังระรัว ตามด้วยเสียงเป่าเขาสัตว์ เหล่าชาวยุทธจักรต่างแย่งชิงใช้วิชาตัวเบาพุ่งตัวเข้าสู่ลานประลองจนเสียงชายเสื้อดังฝ่าอากาศพรึ่บพรั่บไม่ขาดสาย 

....ในที่สุดการประลองก็เริ่มต้นขึ้น....



                           

Design vector created by freepik - www.freepik.com

No comments:

Post a Comment

อ่านเรื่องราวต่างๆ แล้วอยากจะแบ่งปัน อยากถามต่อเชิญได้เลยครับ..